นิราศกางเขนสีขาว ร.ศ. ๒๓๔
Prologue
เพื่อนสาวที่รู้จักกันมาตั้งแต่เรียนมัธยมปลาย
และยังไปเรียนต่อที่ฝรั่งเศสในเวลาใกล้เคียงกับเราที่ไปเรียนต่อเยอรมัน ส่งข่าวมาว่าเธอจะแต่งงานกับแฟนหนุ่มชาวเยอรมันที่กรุง
Lausanne สวิสเซอร์แลนด์ในเดือนธันวาคมนี้และอยากให้เราไปร่วมงานด้วย
องก์ที่
๑ ตระเตรียม
หากเป็นเมื่อสองปีก่อน
ก็คงจะไม่มีปัญหามากมาย เพราะเราก็อยู่เยอรมันอยู่แล้ว เดินทางไปได้สะดวก ส่วนว่าที่สามีของเพื่อน
เราก็เคยเจออยู่เรื่อย ๆ ถ้ามีโอกาส และฮียังเป็นคนเยอรมันหนึ่งเดียวที่เรารู้จัก
ที่เป็นลูกคนเดียวเหมือนกัน
แต่
…
ตอนนี้อิฉันย้ายถิ่นฐานมาอยู่ที่ประเทศไทย
งานการก็มีทำ และยุ่งอยู่ตลอดเวลา
เรื่องแรกที่จะอาจเป็นอุปสรรคก็คือ
จะลางานได้รึเปล่า?
ซึ่งเราก็ไม่รอช้า
รีบบอกเจ้านายที่รักล่วงหน้าก่อนเกือบสามเดือนว่า “เพื่อนสนิทจะแต่งงานนะ
อาจต้องลางานช่วงนั้น” ซึ่งโดยทั่วไป หากบอกก่อนล่วงหน้านาน ๆ
ก็จะได้สิทธิ์นั้นโดยไม่ยากอะไร
และที่น่าแปลกใจ(รึเปล่า?)
คือทั้งสองคนอวยพรให้ฝ้ายไปงานให้สนุก ได้เจอหนุ่มน่ารัก แล้วพากลับมาไทยด้วยเลย J --- เป็นเจ้านายที่ใส่ใจและเข้าใจลูกน้องดีจริง
ๆ
เมื่อเพื่อนสาวยืนยันวันแต่งงานเป็นที่แน่นอนแล้ว
เรื่องที่สองที่ต้องจัดการ และเป็นเรื่องที่เราไม่ชอบเอามาก ๆ คือ การขอวีซ่า ซึ่งก็ต้องออกตัวก่อนว่า
ไม่ได้ยุ่งเรื่องการขอวีซ่าแบบนี้มานานมาก และก็ไม่แน่ใจว่าต้องทำยังไงบ้าง ก็จะขอรีวิวสั้น
ๆ เรื่องการขอวีซ่าท่องเที่ยวจากสถานทูตสวิส ผ่าน TLS
ที่ดูแลเรื่องการขอวีซ่าอย่างเป็นทางการ ดังนี้ค่ะ
๑. เข้าไปที่เว็บไซต์ของ
TLS ซึ่งเค้าจะมีรายละเอียดขั้นตอนการขอวีซ่าอย่างละเอียด
เป็นภาษาไทย
๒.
เตรียมเอกสารส่วนตัว ตามรายการที่ทาง TLS ได้แจ้งไว้ตอนลงทะเบียน
ซึ่งเอกสารส่วนใหญ่ก็ไม่น่าจะยากในการเตรียมการ แต่อาจต้องเผื่อเวลาในการขอเอกสาร
เช่น หนังสือรับรองการทำงาน หรือ หลักฐานแสดงการเงินที่เพียงพอ
- ใบสมัครขอวีซ่า, ฉบับจริง
- รูปถ่ายสีประจำตัวขนาด ๓.๕ ซม. X ๔ ซม. จำนวน ๒ รูป
- หนังสือเดินทาง, ฉบับจริง และ สำเนา
- ประกันภัยการเดินทาง
- เอกสารการจองตั๋วเครื่องบินแบบไป - กลับ จาก/ถึง ประเทศไทย ที่ยืนยันเรียบร้อยแล้ว
- สำเนาการจองโรงแรมสำหรับตลอดการพำนักในเขตเชงเก้นที่ยืนยันเรียบร้อยแล้ว และ/หรือ จดหมายเชิญส่วนตัวจากบุคคลที่พำนักอาศัยอยู่ในเขตเชงเก้นที่มีลายมือชื่อรับรอง
- หนังสือรับรองการทำงาน
- หลักฐานแสดงการเงินที่เพียงพอ , ฉบับจริง และ สำเนา
- ค่าธรรมเนียมการขอวีซ่า ๒,๔๐๐ บาท และค่าธรรมเนียมการดำเนินการ ๘๖๓ บาท
๓.
นำเอกสารทั้งหมดไปยื่นที่สำนักงานตามวันที่นัด
ซึ่งสามารถโทรเลื่อนได้หากมีปัญหา ซึ่งฝ้ายก็ต้องเลื่อนวันยื่นเอกสาร
เพราะมีงานด่วนเข้ามา แล้วพบว่าการขอเลื่อนนัด โดยโทรไปที่ศูนย์นั้น สะดวกสบายและไม่มีปัญหาอะไรเลย
จากประสบการณ์ที่เคยไปขอวีซ่าจากสถานทูตเยอรมัน
ที่ขึ้นชื่อว่าไม่เป็นมิตรและดุมาก รวมทั้งสถานทูตอเมริกาที่เคยไปขอวีซ่าท่องเที่ยวแบบ
๑๐ ปี ต้องขอบอกว่าประทับใจมากกกกกก กับคุณภาพและประสิทธิภาพในการดำเนินงานของ TLS
และสถานทูตสวิสฯ เพราะวันที่ไปยื่นเอกสาร ทุกอย่างดำเนินการรวดเร็วและเป็นระบบมาก
เรายังเซ่อไปนั่งรอเรียก ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วเข้าไปปุ๊บก็ถึงคิวเลย จนเจ้าหน้าที่โผล่หน้ามาถาม
และบอกให้เราเข้ามายื่นเอกสารได้เลยที่ช่อง ๑๓ ไม่ต้องนั่งรอ
ตอนที่ตรวจเอกสาร
พบว่าต้องขอเอกสารการเงินเพิ่ม ซึ่งเค้าก็บอกว่าให้เอาเอกสารที่ขาดมายื่นทีหลัง ก็ได้ที่เคาเตอร์ด้านหน้า
ไม่ต้องนัดคิวใหม่ เราก็ลงไปที่ธนาคารกรุงเทพด้านล่างของตึก เพื่อขอเอกสารที่ขาด
แล้วเอาขึ้นมายื่นที่ TLS --- กระบวนการทั้งหมดทั้งมวลนี้ สิริรวมเวลาเพียง ๑
ชั่วโมงเท่านั้น lol เป็นการขอวีซ่าที่ใช้เวลาน้อยที่สุดเท่าที่เคยขอมา และรู้สึกดีมากกกกกหลังจบกระบวนการ
สามวันให้หลังก็ได้วีซ่ามา
แต่ก็ยังไม่มีเวลาจัดกระเป๋า จนกระทั่งวันสุดท้ายก่อนบิน เนื่องจากครั้งนี้
ต้องไปร่วมงานแต่งงาน ดังนั้น สัมภาระก็จะเยอะกว่าการจัดกระเป๋าไปเที่ยวทั่ว ๆ ไป
ซึ่งของที่เรานำไปมีดังนี้
ที่มา: ๗ ปีใต้ปีกอินทรีเหล็ก
ทั้งหมดทั้งมวล
หนัก ๑๕ กิโลกรัม และกระเป๋าที่ถือขึ้นเครื่องก็ประมาณ ๗ กิโลกรัม ---
เหลือที่ซื้อของกลับได้อีกหลายกิโลเลยทีเดียว J
สุดท้าย
เรื่องการสื่อสาร เนื่องจากคิดว่า
การเดินทางทั้งหมด ๑๐ วัน โดยสามวันแรก ก็เกาะกลุ่มกับเพื่อน ๆ
ส่วนวันที่เหลือก็เที่ยวคนเดียว
ก็เลยตัดสินใจไม่เปิดโรมมิ่งแล้วก็ไม่ซื้อซิมของยุโรป เพราะจากประสบการณ์ที่เคยอยู่ที่นี่มานาน
ตามร้านกาแฟ เช่น Starbucks หรือตามจุดสำคัญของเมือง มักจะมี wifi hotspot
ให้ใช้อยู่แล้ว ก็เลยอยู่ offline เป็นส่วนใหญ่และ online เป็นเวลา ซึ่งพบว่าช่วยให้การเขียน
blog ของเรามีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
องก์ที่
๒ สัญจร
เมื่อได้วีซ่าแล้ว
ก็เตรียมตัวออกเดินทางด้วยสายการบิน Etihad ซึ่งต้องเปลี่ยนเครื่องที่เมือง Abu
Dabi สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งฝ้ายไม่เคยบินทางไกลกับสายการบินอื่น นอกเหนือจาก
Emirate เลย ก็เลยค่อนข้างตื่นเต้นว่า
เครื่องจะเป็นยังไง?
เครื่องจะเป็นยังไง?
อาหารจะอร่อยมั้ย?
มีหนังให้ดูเยอะรึเปล่า?
ฯลฯ
ณ
สนามบินสุวรรณภูมิ เวลา ๒๒.๔๕ น.
Check-in
เรียบร้อย พร้อมเดินทางตามกำหนดการคือเวลา ๒.๑๕ น. ก็เข้านั่งประจำที่ตรงแถวปีกเครื่องบิน
หนุ่มที่นั่งร่วมทาง เป็นหนุ่มเยอรมันที่จะบินไปลง Düsseldorf คุยกันเล็กน้อยตามมารยาทแล้วเราก็ตีตั๋วนอน
สะดุ้งตื่นมาอีกทีตอน
๓.๑๕ น. และพบว่า เครื่องยังคงจอดสนิทอยู่บนพื้นดินแดนสยาม -_-
หนุ่มเยอรมันข้าง
ๆ บอกว่าเครื่องยนต์คงขัดข้อง เพราะเห็นมีคนวิ่งรอบเครื่องบินอยู่
แหงะ
รู้สึกถึง Déjà vu อีกแล้ว เพราะครั้งล่าสุดที่บินกลับจากเยอรมนี ตอนเปลี่ยนเครื่องที่ดูไบ
ก็นอนไปแล้วเกือบชั่วโมง ตื่นมา ก็ยังอยู่ที่ดูไบอยู่
เพราะระบบคอมพิวเตอร์ของสนามบินล่ม เลยไม่มีเครื่องบินลำไหนออกบินได้เลย
ซึ่งหลังจากที่เราตื่นมาไม่นาน
ก็ได้ยินกัปตันประกาศว่าพร้อมที่จะออกเดินทางแล้ว ... เฮ้อ ค่อยโล่งใจหน่อย
เอาละ มาให้ความเห็นเรื่องการบริการของ Etihad
อาหารบนเครื่องใช้ได้ตามมาตรฐาน
UAE ไม่ต่างจาก Emirate กินอิ่มแน่ ๆ แถมฝ้ายยังห่อของว่าง ขนมขบเคี้ยว นม
ที่ทานไม่หมดลงมาเป็นเสบียงตอนถึงสวิสฯ อีกด้วย
การบริการของ
Emirate เหนือกว่า Etihad ตรงที่ใส่ใจในความต้องการของผู้โดยสารมากกว่า เห็นได้จากหนุ่มเยอรมันข้าง
ๆ ขอช็อกโกเลตร้อนแทนกาแฟกับคุณแอร์คนสวย แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ อาจจะเป็นไปได้ว่าคุณแอร์คงยุ่งเพราะเครื่องบินขัดข้องซะนาน
ความสะดวกสบาย
ผู้โดยสารต้องแบกกระเป๋าลงเครื่องเอง แล้วขึ้นรถบัสไปยังสนามบิน
ไม่ได้เดินงวงช้างโดยตรง ซึ่งคงจะไม่มีปัญหา หากอุณหภูมิของกรุงเจนีวาจะไม่ใช่ ๔
องศาเซลเซียส พร้อมฝนปรอยปรายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตอนบินกับ Emirate
ไม่เคยต้องเดินขึ้นรถบัสเองแบบนี้เท่าไหร่
ส่วนที่คิดว่าดีกว่า
Emirate ก็คือนวัตกรรมของหมอนที่แจกบนเครื่อง ซึ่งสามารถสวมคอได้พอดี
และผ้าห่มที่ดูแล้วมีสุขอนามัยที่ดีกว่า เพราะอยู่ในหีบห่อที่มีการปิดผนึกอย่างดี
ที่มา: ๗ ปีใต้ปีกอินทรีเหล็ก |
ถึงกรุงเจนีวาแบบปลอดภัยและตรงเวลา
การลงจอดก็นิ่มมากกกก
องก์ที่
๓ อ้างแรม
เมื่อหาซื้อตั๋วจากสนามบินเจนีวาเข้า
Lausanne ได้สำเร็จ จากตู้ขายตั๋วในสนามบินด้วยสนนราคา ๒๗ ฟรังก์สวิส (ตู้ขายตั๋วยินดีรับบัตรเครดิต
ถ้าทางเราเปิดใช้บัตรแบบที่ไม่ต้องเซ็นชื่อ แต่ใช้กดเป็น PIN
ซึ่งคิดว่าคนไทยไม่ค่อยใช้ PIN เน้นเซ็นชื่อมากกว่า ฝ้ายเลยต้องเอาเงินสดจ่าย
ซึ่งตู้ก็รับธนบัตรฟรังก์สวิส แต่จะทอนเป็นเหรียญเท่านั้น) ๔๕ นาทีต่อมา
รถไฟก็แล่นเข้าสู่สถานีรถไฟกลางของกรุง Lausanne เมืองที่ฝ้ายค่อนข้างคุ้นเคย
เพราะมาบ่อย และมาอยู่แต่ละครั้งค่อนข้างนาน
ภารกิจต่อไปคือ หาโรงแรม Alpha-Plamiers
ซึ่งเมื่อคะเนดูจากแผนที่แล้ว
โรงแรมจะอยู่ใกล้สถานีรถไฟค่อนข้างมาก เพียงก้าวเดินแค่ ๕๕๐ เมตร แต่เมื่อเห็นภาพสถานที่จริง
จะพบว่า เป็น ๕๕๐ เมตรที่ขึ้นเนินเขา -_-
สองมือลากสองกระเป๋าเดินทาง
พร้อมออกกำลังกายยามเย็น ในที่สุด ก็มาถึงโรงแรมที่พัก แบบได้เหงื่อนิด ๆ ร่างกายกำลังอบอุ่น
สู้อากาศที่กำลังใกล้ศูนย์องศาเข้าไปทุกที
ที่พักคืนแรก
๑๒๕ ฟรังก์สวิส บวกอาหารเช้าอีก ๒๒ ฟรังก์สวิสต่อคน ที่คุ้มค่ามากมายและเป็นการตัดสินใจที่ดี
เพราะหลังจากนั้น ก็ไม่ได้กินอะไรยาวไปจนถึงทุ่มนึงล่ะมั้ง
องก์ที่
๔ ออกเรือน
วันสำคัญที่สุดของเพื่อนรัก
เราตื่นตั้งแต่ ๗ โมงเช้า โดยที่ฟ้ายังคงมืดสนิท เพื่อแต่งหน้าทำผมเอง พร้อมใส่ชุดราตรี
หลังจากที่ทานอาหารเช้า ที่คุ้มค่าคุ้มราคา
ก็ต้องเก็บของเพื่อไปช่วยเจ้าสาวแต่งตัวที่โรงแรม Beau-Rivage Palace ริมทะเลสาบเจนีวา
พวกเรา ๔ ชีวิตลงความเห็นว่าจะใช้บริการ taxi เพราะถึงแม้ระยะทางจะไม่ไกล
สามารถนั่งรถรางแล้วเดินต่อนิดหน่อยได้ แต่
...เราใส่ชุดราตรีที่เปลือยหลัง
...พร้อมกระเป๋าเดินทางอีกสองใบ
...บวกภูมิประเทศที่เป็นเนินเขา
taxi จึงเป็นคำตอบสุดท้าย
โรงแรม Beau-Rivage Palace
มีลักษณะเป็นคฤหาสน์โบราณกึ่งปราสาท ประกอบด้วยหลายปีก ที่มีการตกแต่งคนละสไตล์
แต่ผสมกลมกลืนเป็นอย่างดี ส่วนต้อนรับของโรงแรมและ concierge ทำให้เรานึกถึงภาพยนตร์เรื่อง Grand Budapest ของ Wes Anderson มาก มันให้ความรู้สึกหรูหราและคลาสสิค
เนื่องจากโรงแรมมีหลายปีก กว่าจะเจอห้องที่เจ้าสาวอยู่
ก็เดินหลงอยู่ในโรงแรมไปแล้วหนึ่งรอบ แต่ไม่มีปัญหา เพราะทุกตารางนิ้วของโรงแรมนี้
ได้รับการตกแต่งอย่างปราณีตและพิถีพิถันสมฐานะโรงแรมระดับห้าดาว
ชั่วเวลาที่เจอเจ้าสาวเป็นครั้งแรกหลังจากมาถึงที่นี่
ตราตรึงใจมาก เนื่องจากเธอนั่งอยู่ตรงระเบียงที่มองเห็นวิวในมุมกว้างของทะเลสาบเจนีวายามเช้า
ที่มา: Beau-Rivage Palace
เธอกำลังถูกมะรุมมะตุ้มด้วยสาวสวย รูปร่างสูงโปร่ง ผมบลอนด์สั้น
ที่รับหน้าที่แต่งหน้า และหนุ่มหล่ออีกคนหนึ่ง ที่กำลังม้วนผมเธออย่างขะมักเขม้น เมื่อได้พูดคุย
จึงรู้ว่าสาวสวยคนนี้ เคยเป็นนางแบบมาก่อนและสามีนางก็เป็นนายแบบ Calvin Klein ด้วย
ส่วนพ่อหนุ่มคนนี้ก็ช่างพูดและเป็นมิตรอยู่แล้วตามสไตล์เก้งกวาง ซึ่งฮีก็เล่าว่าเคยมาเที่ยวไทย
แถวเขาหลัก เกาะพีพี และชอบมาก แถมหยอดช่วงท้ายว่าจะต้องหาเวลามาอีก
จริง ๆ การมางานแต่งครั้งนี้ ก็เหมือนเป็น re-union กลาย ๆ ของกลุ่มเพื่อนสมัยเตรียมอุดมศึกษา
รุ่น ๖๒ ที่ต่างก็ไม่ได้เจอกันบ่อยนัก เพราะย้ายถิ่นฐานมาเรียนต่อและทำงานอยู่ที่ต่างประเทศตั้งแต่เรียนจบปริญญาตรี
ซึ่งทุกคนก็ไม่ได้มาในฐานะแขกเท่านั้น แต่ยังรับหน้าที่เป็นทั้งฝ่ายการเงิน
ดูแลกระเป๋าตังค์ของเจ้าสาว, เป็น Art director ที่ดูแลภาพรวมของเสื้อผ้า เก็บรายละเอียดงานหน้างานผม
ส่วนที่เหลือ ก็รับหน้าที่ฝ่ายสนับสนุน ในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ตามสถานการณ์บังคับ ซึ่งงานเล็ก
ๆ น้อย ๆ หลาย ๆ งาน ก็สะสมเป็นงานเยอะแยะได้อย่างไม่น่าเชื่อ งานหลัก ๆ
ของเราที่ได้รับมอบหมายคือเป็นล่ามสามภาษา อังกฤษ ไทย และเยอรมัน
หากแต่งานชิ้นแรกที่ได้รับมอบหมายจากเจ้าสาวคือ การสั่งดอกกุหลาบสีขาวมาติดทักซิโด้ของเจ้าบ่าว
เพื่อนเจ้าบ่าว และเพื่อนเจ้าสาว ทั้งหมด ๔ ดอก ภายในเวลาครึ่งชั่วโมง!!!
ทักษะของ professional sustainability consultant กำลังถูกท้าทาย
ให้เริ่มขยายขอบเขตมาเป็นกึ่ง ๆ organiser หรือ wedding planner
ณ เวลานั้น สมองกำลังประมวลผลทางเลือกที่เป็นไปได้และเหมาะสมที่สุด
ดังนี้
ทางเลือกที่ ๑ ความคิดที่ว่าจะออกไปเดินหาร้านดอกไม้ที่น่าจะมีอยู่ในละแวกนี้
ช่วงเวลาประมาณ ๑๐ โมงเช้าของวันเสาร์ แล้วสั่งให้เค้าทำตามที่เราต้องการในเมืองที่ผู้คนใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นหลัก
และมีแนวโน้มสูงที่จะไม่เข้าใจภาษาเยอรมันหรือภาษาอังกฤษด้วยนั้น
เป็นเรื่องที่ไม่ฉลาดเท่าไหร่นัก ดังนั้น ทางเลือกนี้ มีข้อดีคือประหยัดค่าใช้จ่าย
เพราะ Do It Yourself แต่มีความไม่แน่นอนสูงเกินไป ในเงื่อนเวลาที่จำกัด ดังนั้น
ทางเลือกนี้ไม่ผ่าน
ทางเลือกที่ ๒ ไปขอความช่วยเหลือจาก front desk ดีกว่า
เพราะเค้าน่าจะทราบดีว่าจะไปสั่งดอกไม้ได้ที่ไหน แล้วเราค่อยมาติดเข็มกลัดเอง
เพราะเจ้าสาวบอกว่ามีอุปกรณ์พร้อม
แต่ปรากฎว่า Mr. Allen Wong (ขอเอ่ยชื่ออย่างจริงจัง)
– Master ของโรงแรม Beau-Rivage Palace ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากกกกกก - above
expectation - สมมาตรฐานของโรงแรมระดับห้าดาว ทั้งมารยาท การพูดจา
และผลการดำเนินงาน
ฮีเริ่มต้นด้วยการถามถึงจุดประสงค์ของเราว่า
จะเอาไปทำอะไร?
เอาเมื่อไหร่?
ดอกไม้ชนิดไหน?
สีอะไร?
ต้องขาวจั๊วะเลยมั้ย?
หรือออกสีครีม ๆ ก็ได้?
เมื่อได้ข้อมูลครบ ฮีก็แจ้งก่อนเลยว่า
โรงแรมจะมีค่าธรรมเนียม ๒๕ ฟรังก์สวิส สำหรับการดำเนินการ
ซึ่งเราก็ตกลงว่าโอเค ฮีก็ยกหูโทรศัพท์ พร้อมสั่งการไปยังปลายสายเป็นภาษาฝรั่งเศส ซึ่ง
๓๐ นาทีให้หลัง ดอกกุหลาบสีขาว พร้อมใช้ติดบนทักซิโด้ของเหล่าหนุ่ม ๆ ได้รับการบรรจุอย่างถนุถนอมในถุงพลาสติกใสอัดอากาศ
ก็มาส่งถึงห้องแต่งตัวของเจ้าสาว lol
นี่สิ คุณค่าที่แขกของโรงแรมระดับห้าดาวคู่ควร
ระหว่างทางที่เดินออกจากลิฟท์กลับมายังห้องของเจ้าสาว
ก็มีผู้ชายเดินตามหลังมา ซึ่งตอนแรกก็คิดว่า โรงแรมให้แขกเข้ามา check-in ก่อน ๑๑
โมงได้ด้วยเหรอ ดีจัง จนเริ่มสังเกตว่าฮีเดินมาทิศทางเดียวกับเรา
แล้วก็มาหยุดที่ห้องเดียวกับเราอีก พอเรากำลังจะอ้าปากถามว่าฮีเป็นใคร
เพราะหน้าตาไม่คุ้น ไม่น่าจะเป็นแขกของเพื่อนเรา ฮีก็แนะนำตัวว่าฮีเป็นตากล้องค่ะ
เราก็เลยหยุดวิตกจริตได้ทันท่วงที
และก็อย่างที่เกิดขึ้นกับทุกงานแต่ง
คือการล่าช้าจากกำหนดการเดิม แขกเหรื่อก็มาถึงสถานที่จดทะเบียนสมรสแล้ว รถมินิบัสที่ถูกว่าจ้างให้พาเหล่าเจ้าสาวและผู้ติดตาม
ที่ขนาดใหญ่พอจะขนกระเป๋าหนักประมาณ ๓๐ กก. ของคน ๑๖ คนก็มารอที่หน้าโรงแรม ซึ่งทั้งคนและกระเป๋าก็ต้องนั่งอัดกันอย่างอบอุ่น มุ่งหน้าไปยัง
Château
d'Oron สถานที่จดทะเบียนสมรสที่ตั้งอยู่บนยอดเขา
ซึ่งเมื่อถึงจุดหมายในหนึ่งชั่วโมงให้หลัง
รถมินิบัสที่สูงเกินไปจนไม่สามารถรอดซุ้มประตูหินได้ ก็ต้องปล่อยพลร่มลง
แล้วเดินเท้าต่อเอง ซึ่งมันคงจะไม่เป็นปัญหา หาก
…
อุณหภูมิของวันนั้น ไม่ใช่ ๔ องศา
…
พื้นถนนที่มุ่งตรงสู่ปราสาทจะเป็นพื้นลาดยาง ไม่ใช่พื้นที่เต็มไปด้วยหินกรวด
ซึ่งไม่เป็นมิตรกับรองเท้าส้นสูงระดับสามนิ้ว
…
แล้วยังต้องถือหางผ้าคลุมผมของเจ้าสาวไปพร้อม ๆ กัน!!!
แต่ในที่สุด
ทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี บรรยากาศงานจดทะเบียนนอกจากจะประกอบด้วยภาษาที่หลากหลาย
ทั้งฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมัน และไทยแล้ว แต่ทั้งหมดทั้งมวล สื่อความหมายอย่างเดียวกัน ซึ่งสร้างความประทับใจ จนเจ้าสาวและเหล่าเพื่อนชาวไทยร้องไห้ตลอดรายการ ถึงแม้เราจะไม่เข้าใจทั้งหมดของสิ่งที่เพื่อน ๆ ของเจ้าบ่าว เจ้าสาวกล่าวมา เพราะส่วนใหญ่เป็นภาษาฝรั่งเศส
เมื่อถึงช่วงที่เพื่อนเจ้าสาวฝั่งไทยกล่าวอวยพร ฮีกล่าวเป็นภาษาฝรั่งเศสยาวมาก แล้วค่อยเปลี่ยนมาเป็นภาษาไทย ซึ่งเราที่ทำหน้าที่ช่วยแปลเป็นภาษาเยอรมัน ก็ไม่รู้จะแปลอะไรได้มากไปกว่า
เมื่อถึงช่วงที่เพื่อนเจ้าสาวฝั่งไทยกล่าวอวยพร ฮีกล่าวเป็นภาษาฝรั่งเศสยาวมาก แล้วค่อยเปลี่ยนมาเป็นภาษาไทย ซึ่งเราที่ทำหน้าที่ช่วยแปลเป็นภาษาเยอรมัน ก็ไม่รู้จะแปลอะไรได้มากไปกว่า
“พวกเรารักเจ้าสาว
แล้วก็จะรักเจ้าบ่าวด้วย และยินดีกับทั้งคู่มาก ๆ ที่มีวันนี้ในที่สุด”
มิตรภาพกว่า
๑๖ปี กลั่นออกมาเป็นคำพูดได้ไม่มากไปกว่า Love is actually all around จริง ๆ นะ
ภาพของเหตุการณ์ตัดกลับมาตอนที่เรากำลังโวยวายอยู่ในใจเรื่องต้องเดินเท้าขึ้นปราสาท
และเตรียมตัวเดินแถวเป็นขบวน
เพื่อนำส่งตัวเจ้าสาวนั้น เหล่าหนุ่ม ๆ ก็มีเรื่องอื่นที่ต้องจัดการ นั่นก็คือ
ทุกคนลืมเอาชุดเจ้าสาวสำหรับงานเย็น
ออกแบบโดย Zuhair Murad ใส่รถมินิบัสมาด้วย!!!
ที่มา: Zuhair Murad
เราจำได้ว่าเห็นชุดงานเย็นแขวนอยู่ในตู้เสื้อผ้า และทุกคนมัวแต่ห่วงเรื่องขนของสำคัญ เช่น กระเป๋าเงิน เครื่องเพชร แหวนแต่งงาน ฯลฯ ออกจากโรงแรม Beau-Rivage Palace ให้หมด เพราะต้องไปค้างคืนที่โรงแรม Alpina อันเป็นสถานที่จัดงานเย็นในอีกเมืองหนึ่ง ส่งผลให้โชเฟอร์ที่น่าสงสาร ต้องตีรถกลับไปที่โรงแรมเดิม แล้วไปเอาชุดเจ้าสาวที่ลืมไว้ กลับมาให้ทันก่อนที่พิธีการจะเสร็จ โดยเรื่องนี้ปิดเป็นความลับไม่ให้เจ้าสาวรู้ ซึ่งปฏิบัติการลับนี้ก็สำเร็จด้วยดีในท้ายที่สุดจากความร่วมมือของทุกฝ่าย
เมื่อเสร็จสิ้นพิธีการเช้า
ทั้งหมดก็กลับขึ้นรถมินิบัสพร้อมเจ้าบ่าว มุ่งหน้าสู่เมือง Gstaad
ที่เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงช่วงเย็น ระยะทางขับรถประมาณเกือบสองชั่วโมง
ที่วิวสองข้างทางสวยงามมากสมมาตรฐานสวิสเซอร์แลนด์ ที่เต็มไปด้วย
... ลำธารที่น้ำใสแจ๋วจนเห็นก้นลำธาร
... เทือกเขาเรียงรายและปกคลุมด้วยหิมะ
... สองข้างทางที่ไม่ค่อยมีผู้คน
... หากแต่มีแมวเหมียว
เดินเล่นให้เห็นเป็นระยะ
... แกะสีขาวและสีน้ำตาลยืนเล็มหญ้าอย่างอ้อยอิ่ง
... เหล่าแม่วัวยืนเกาะกลุ่มกัน
ก็ช่วยพักสายตาและผ่อนคลายจิตใจก่อนกลับสู่ความเร่งรีบของงานเย็น ซึ่งเจ้าสาวก็มีเวลาเพียงครึ่งชั่วโมงในการเปลี่ยนชุด เติมหน้า พร้อมจัดผมเพิ่มเติม โดยที่ Art director ของเราก็ได้นำดอกกล้วยไม้ที่ประดับอยู่ในห้องพักของโรงแรม มาติดประดับผมเจ้าสาว เพื่อเพิ่ม gimmick ให้งานช่วงเย็น แทนผ้าคลุมผมในงานพิธีเช้า
องก์ที่
๕ พิธีรดน้ำสังข์
งานเย็นเริ่มต้นด้วยพิธีรดน้ำสังข์ริมสระว่ายน้ำร้อน
ด้านนอกโรงแรม Alpina Gstaad ล้อมรอบด้วยเทือกเขาแอลป์ที่ขาวโพลนไปด้วยหิมะต้อนรับเทศการคริสมาสต์ที่จะมาถึงในอีกไม่ช้า
ทิวทัศน์ที่สวยงามราวกับภาพวาดนี้ แลกมาด้วยความหนาวยะเยือก และพื้นรอบสระที่เหมาะแก่รองเท้าสเก็ตน้ำแข็งมากกว่ารองเท้าส้นสูงที่เหมาะแก่การเดินในเมืองกรุง
ที่มา: Alpina
ที่มา: Alpina
หน้าที่ของเราคือการอธิบายพิธีรดน้ำสังข์ให้แขกชาวต่างชาติฟัง
คลอด้วยเสียงสวดมนต์สรรเสริญพระพุทธคุณที่เจ้าบ่าว search เจอใน Internet แล้วเลือกมาใช้เป็น
theme เพลงของพิธีการ -_-
ซึ่งการตอบสนองของแขกในงานก็แบ่งเป็นสองส่วน
คือ แขกฝรั่งจะสงสัยว่า พระท่านกำลังพูดอะไรอยู่? ซึ่งเป็นข้อดีที่ทำให้ฝ้ายมี
gimmick เพิ่มขึ้นในการอธิบายพิธีรดน้ำสังข์เป็นภาษาเยอรมันและอังกฤษ
ส่วนแขกไทยก็จะตอบสนองด้วยการตั้งคำถาม ว่าใครเป็นคนเลือกบทสวดนี้มา?
เจ้าสาวเลือกเหรอ? ซึ่งจริง ๆ แล้ว เป็นฝีมือเจ้าบ่าวทั้งหมดจ้า
ก็เอาที่ฮีสบายใจแล้วกันเนอะ
เมื่อจบพิธีการรดน้ำสังข์ที่หนาวยะเยือก
แต่อบอุ่นใจแล้ว ก็เริ่มเข้างานเลี้ยงตอนเย็น ซึ่งอาหารของงานเฉลิมฉลองนี้
เริ่มต้นด้วย
ส่วนของหวานก็เป็นแบบบุฟเฟ่ต์ เลือกได้ตามใจชอบ
Light pumpkin soup with duck liver dumpling
ตามมาด้วย marinated
courgette with cream cheese and lemon granita
ปิดท้ายด้วย pink roasted Muscovy
duck breast with mushrooms and creamed savoy cabbage
ส่วนของหวานก็เป็นแบบบุฟเฟ่ต์ เลือกได้ตามใจชอบ
หลังจากอาหารเย็นผ่านไป
ก็มีกิจกรรมช่วยย่อยอาหาร เพื่อสร้างความสนุกสนาน ให้แก่แขกที่มาร่วมงาน รวมทั้งเจ้าบ่าวเจ้าสาว
ซึ่งโต๊ะคนไทยนี่ ค่อนข้างจะขี้อายมาก เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเกมอะไร
อิฉันเลยต้องเป็นตัวแทนเกือบทั้งหมด -_- โดยมีผองเพื่อนที่รักคอยเป็นกำลังใจ?
หรือยุส่งอยู่ห่าง ๆ
รู้สึกเหมือนงานนี้
นอกจากต้องเป็นล่ามสามภาษาแล้ว ยังพ่วงตำแหน่ง entertainer เหมือน Stifler ใน American Pie 3: The
Wedding ไม่มีผิด
ซึ่งก็เอาเถอะ
ถ้าเพื่อน ๆ สบายใจ เราก็สบายใจไปด้วย --- ชิส์ ภาพล้งภาพลักษณ์หมดกัน T_T
งานเลี้ยงดำเนินไปจนถึงเวลาตีสามกว่า
ๆ --- เลิกดึกกว่าไปเที่ยวผับซะอีก ก็กลับห้องแยกย้ายกันเข้านอน ต้องขอบอกว่า
เตียงนอนนอนสบายมาก แข็งกำลังดี เราเลยหลับสนิทไปจนถึงสิบโมงเช้าแบบไม่ฝันเลย
ที่มา: ๗ ปีใต้ปีกอินทรีเหล็ก
Epilogue
ตื่นเช้ามาด้วยความรู้สึกเสียดายว่า
ใช้ประโยชน์จากโรงแรมราคาคืนละ ๕๕๐ ฟรังก์สวิสไม่คุ้มเอาซะเลย
สปาของ Six Senses Spa ที่รวมอยู่ในค่าห้องก็ไม่มีเวลาลงไปแช่ เพราะตื่นสาย
สปาของ Six Senses Spa ที่รวมอยู่ในค่าห้องก็ไม่มีเวลาลงไปแช่ เพราะตื่นสาย
สระว่ายน้ำร้อนก็ไม่ได้ใช้
ถึงแม้จะเตรียมชุดว่ายน้ำมาด้วยก็ตาม
กาแฟ
Nespresso ที่อยู่ในห้องก็ไม่ได้ชิม
ชาที่เค้ามีให้ก็ลืมเอากลับมาด้วย
ชงดื่มไปแค่แก้วเดียว -_-
คว้าได้แต่อุปกรณ์ในห้องอาบน้ำยี่ห้อ
Acqua di Parma มาเท่านั้น
และที่พีคที่สุดก็คือ
เพิ่งมาตระหนักว่ารองเท้าบูทฤดูหนาวไม่อยู่ในห้อง!!!
ทีนี้
ก็เริ่มวิตกจริตของจริง เพราะมีรองเท้าอยู่คู่เดียว นอกเหนือจากส้นสูงที่เตรียมมา
แล้วชีวิตที่เหลือต่อจากนี้ในยุโรปจะทำยังไง?
ระหว่างกินอาหารเช้าที่หรูหราสมราคา
Butler ที่เป็นมิตร ที่มาทักเราแต่เช้าว่าได้ไปใช้สปารึยัง -_- พร้อมนักร้องและนักเปียโนที่เล่นเพลง
My way ของ Frank Sinatra ให้ตาม request ของเราเป็นการปลอบใจ พนักงานโรงแรมนี้
ก็บริการได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องจริง ๆ เพราะเมื่อเราเริ่มปฏิบัติการตามหารองเท้า ทุกคนที่เกี่ยวข้องก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
ขั้นที่
๑ concierge
เผื่อว่าเราลืมหยิบมาจากตรงที่เค้าเอากระเป๋าลงจากรถมินิบัส
เมื่อพบว่าไม่อยู่ที่นั่น
ขั้นที่
๒ ห้องเจ้าสาว
เพราะตอนที่วุ่น
ๆ เจ้าหน้าที่อาจจะขนทุกอย่างไปลงที่ห้องนั้นก็เป็นได้ เราก็เข้าไปสำรวจ
เมื่อพบว่าไม่มี
ขั้นที่
๓ ห้องเพื่อน ๆ
ที่กระจายอยู่ห้องอื่น
ๆ อีก ๕ ห้อง (กลุ่มเรากระจายอยู่ทั้งหมด ๘ ห้อง รวมห้องเราเองแล้ว) เพราะอาจจะหยิบติดไป
ก็ไม่มี
ขั้นที่
๔ ตากล้อง
เพราะตอนขามาเค้าก็นั่งรถมินิบัสมาด้วยเหมือนกัน
แต่ก็นึกขึ้นได้ว่า ตอนกลางคืนหลังเลิกงานเย็นประมาณเที่ยงคืนกว่า เราเป็นคนจัดการเรื่องรถ
taxi ไปส่งทั้งสองคนที่โรงแรมใกล้ ๆ และจำได้ว่ากองกระเป๋าเดินทางของเค้า ไม่มีถุงรองเท้าเราอยู่ด้วยแน่
ๆ
ขั้นที่
๕ รถมินิบัส
ซึ่งอย่างที่รู้กันว่า
วันอาทิตย์ที่ยุโรปไม่มีใครทำงานกัน ดังนั้น
โทรไปเจอเครื่องตอบรับเป็นภาษาฝรั่งเศสที่บอกว่าให้โทรมาใหม่วันจันทร์ ก็เริ่มใจแป้ว
คิดว่าสงสัยคงต้องซื้อรองเท้าใหม่ระหว่างอยู่ที่นี่อีก ๗ วัน T_T
เมื่อความหวังเริ่มริบหรี่
และพอจะทำใจบอกลารองเท้าได้แล้ว อีกทั้ง เจ้าสาวก็ให้ยืมรองเท้าบูทของเธอมาใส่ระหว่างนี้
สายตาก็เหลือบไปเห็นคุณแม่เจ้าสาว ถือถุงใส่รองเท้าเราลงมา check-out ที่ lobby หัวใจก็เริ่มพองฟู
เหมือนได้เจอเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอมานาน (อนึ่ง
รองเท้าคู่นี้ เราใช้มาหลายปี ตลอดเวลาที่เราไปเที่ยวในฤดูหนาว) ณ ตอนนั้น
ก็นึกถึงความผิดพลาดของเราได้ว่า ตอนที่เราตามหารองเท้านั้น เราก็ถามเพื่อนทุกคนที่นั่งรถมาด้วยกัน
ทั้ง ๖ ห้อง ว่ามีรองเท้าเราติดไปด้วยรึเปล่า แต่ลืมถามห้องที่ ๗ ซึ่งก็คือห้องของคุณแม่และพี่สาวของเจ้าสาว
ซึ่งทั้งสองคน ต่างก็คิดว่าเป็นรองเท้าของเจ้าสาวก็เลยถือติดเข้าห้องไปด้วย
ปฏิบัติการตามหารองเท้าก็จบลงด้วยประการฉะนี้
บทเรียนที่ได้คือ
เวลาเดินทางเป็นกลุ่ม และอยู่ในช่วงเร่งรีบ
ข้าวของทุกอย่างควรยัดอยู่ในกระเป๋าใหญ่ให้หมด
หลังเรื่องทั้งหลายผ่านไปด้วยดี
ทั้งกลุ่มก็ลงมาเดินเล่นที่ตัวเมือง Gstaad ก่อนแยกย้ายขึ้นรถไฟไปเที่ยวที่เมืองต่าง
ๆ ต่อ เช่น Berlin, Interlaken, Marrakesh และ Rome ซึ่งเราก็ได้กลับมาใช้สปาของ
Six Senses ในตอนบ่ายแก่ ๆ เพราะเจ้าสาวขอทางโรงแรมไว้เป็นกรณีพิเศษว่าจะมาใช้บริการ ถึงแม้จะ
check-out ไปแล้วก็ตาม เราชอบบ่อน้ำร้อน ห้องอบไอน้ำ
และห้องอาบน้ำแบบที่มีน้ำไหลมาจากหลายทิศทางมากมาย
อนึ่ง
งานแต่งงานนี้ ปราศจาก wedding planner มืออาชีพ แต่เป็นคู่บ่าวสาวจัดการเองทั้งหมด
เนื่องจากสนนราคาของ wedding planner ที่แพงหูฉี่ถึง ๒๐,๐๐๐ ยูโร โดยยังไม่รวมค่าของใช้
ค่าเดินทาง ฯลฯ สรุปง่าย ๆ เงินจำนวนนี้คือค่าจ้างประสานงานเท่านั้น ซึ่งทั้งคู่ก็ยอมรับว่าการจัดงานให้ออกมาตามที่อยากได้
เหนื่อยกว่ามาก แต่ผลที่ได้ก็ออกมาอบอุ่น
แบบที่มีแต่เพื่อนและญาติสนิทของทั้งคู่เท่านั้นที่ได้รับเชิญ หน้างานไม่มีรูปคู่
pre-wedding ของบ่าวสาว
เพราะเจ้าสาวเชื่อว่าทุกคนรู้อยู่แล้วว่าทั้งสองคนรักกันมากแค่ไหน
หากแต่มีรูปของเจ้าสาวและเจ้าบ่าวกับแขกรับเชิญกระจายอยู่ตามที่นั่งของแต่ละคนแทน
ซึ่งให้ความรู้สึกที่อบอุ่น ว่าแขกที่มาร่วมงาน จำนวนประมาณ ๕๐ คนนั้น
เป็นคนที่ถูกเลือกและมีบทบาทที่สำคัญในช่วงชีวิตของคู่บ่าวสาวอย่างแท้จริง
ในคืนนี้
เรากลับมานอนที่กรุง Lausanne อีกครั้ง เพื่อเตรียมตัวออกเดินทางไป München
ในวันรุ่งขึ้น ซึ่งโรงแรมที่เราไปพักก็คือ Lausanne Guesthouse & Backpacker ด้วยราคาคืนละ
๓๖ ฟรังก์สวิส บวกค่าผ้าปูที่นอนและผ้าขนหนูอีก
๔ ฟรังก์สวิส ก็นอนได้นะ เป็นห้องนอนสี่คน แต่มีเตียงว่างหนึ่งเตียง
เรานอนเตียงชั้นสอง
ที่มา: ๗ ปีใต้ปีกอินทรีเหล็ก
ที่น่าประทับใจ ไม่แพ้โรงแรมห้าดาวก็คือความสะอาด โดยเฉพาะห้องอาบน้ำและห้องน้ำนี่ สุดยอดเลย แล้วลักษณะทางกายภาพนี่เหมือนที่มหาวิทยาลัยที่ Lüneburg เลย ทำให้คิดถึงวันเวลาที่นั่นมากมาย นอกจากนี้ โรงแรมยังไม่มีลิฟท์
เลยต้องแบกกระเป๋าขึ้นบันไดไปเองสองชั้น เมื่อเทียบกับโรงแรม Alpina ที่เพิ่งจากมา
แค่จะเอากระเป๋าจากห้องลงลิฟท์มา ทาง concierge ยังเสนอว่าจะขึ้นไปรับกระเป๋าให้ ไม่ต้องทำเอง
สปอยสุด ๆ อ่ะ
สุดท้าย
ซินเดอเรลล่าก็ถอดรองเท้าแก้วออก แล้วกลับมาสวมรองเท้าที่เหมาะกับเธอซะที
bonne
nuit
ราตรีสวัสดิ์
ดินแดนแห่งกางเขนสีขาว
Kommentare
Kommentar veröffentlichen