Der Vorleser หนังสือที่เต็มไปด้วยคำถามถึงศีลธรรมและการมีอยู่ของกฎหมาย




หนังสือเล่มนี้ เป็นงานเขียนของนักกฎหมาย Bernhard Schlink ชาวเยอรมัน แต่เป็นนิยายที่อ่านได้อย่างไม่ขัดเขิน ได้รับการแปลถึง 37 ภาษา และทำเป็นภาพยนตร์นำแสดงโดย Kate Winslet, David Kross และ Ralph Fiennes เป็นหนังสือที่นักเรียนเยอรมันอ่านเป็นหนังสือนอกเวลา และก่อให้เกิดการถกเถียงในหลายมิติ ตั้งแต่เรื่องการพรากผู้เยาว์ บาดแผลทางใจ ตัวบทกฎหมาย ที่มีการพูดว่ากฎหมายนั้นใจแคบ และอิสรภาพ

ฝ้ายไปได้หนังสือเล่มนี้จากตลาดขายของมือสอง ในราคา 6.90 ยูโร หลังจากอ่านเล่มนี้จบในปี 2011 ก็ออกไปลาก flatmate ชาวเยอรมันมานั่งคุยกันเลยทีเดียว และคุยกันยาวมากกก เพราะเป็นหัวเรื่องที่สนุกในการอภิปรายนั่นเอง (และคนเยอรมันส่วนมากชอบแสดงความคิดเห็น บางคนยังอาสาสวมบทบาทเป็น devil advocate เพื่อให้การสนทนาไม่ไปทางเดียวกันจนเกินไป)

เนื้อเรื่องครอบคลุมเวลาตั้งแต่ตัวเอกอายุ 15-45(?) ปี ดังนั้น จะมีบรรยากาศของช่วงหลังยุคนาซี ค่ายกักกัน และผลสืบเนื่องจากเหตุการณ์นั้นเป็นตัวเดินเรื่อง

มีการวิเคราะห์และสรุปหนังสือเล่มนี้มากมาย ฝ้ายก็จะขอไม่พูดซ้ำถึงเนื้อหาโดยรวม แต่อยากจะชวนคุยในแง่มุมของกฎหมายและปรัชญา ที่จะมีการเปิดเผยเนื้อหาที่สำคัญ ดังนั้น spoiler alert นะคะ

ฮันนา เป็นยามคุมนักโทษชาวยิวของหน่วย SS ได้ถูกกล่าวหาว่า ปล่อยให้นักโทษถูกไฟคลอกตายในโบสถ์ที่ขังพวกเขาไว้ เนื่องจากระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตรในช่วงท้ายสงครามโลก โดยมีผู้รอดชีวิตเพียง 2 คน มิคาเอล เล่าเรื่องราวการพิจารณาคดีผ่านสายตาของคนรุ่นหลัง ที่ส่วนใหญ่ออกจะประนามพ่อแม่ของพวกเขาที่วางเฉยต่อเหตุการณ์ต่าง ในช่วงนาซีเรืองอำนาจ 

ในการพิจารณาคดีในศาล มีตัวละครอยู่ 3 กลุ่ม โจทก์ (2 แม่ลูกที่รอดชีวิต) จำเลย (ฮันนา และยามคนอื่นอีก 5 คน) และพยาน (ชาวบ้านที่อยู่รอบโบสถ์) คดีนี้จริง ค่อนข้างเอื้อประโยชน์ต่อจำเลย เพราะมีพื้นฐานมาจาก (1) คำให้การของโจทก์ ที่ถูกขังอยู่ข้างใน ซึ่งไม่สามารถอธิบายได้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ภายนอก ว่ายามทำอะไรบ้าง ประกอบกับ (2) คำให้การของพยานที่เห็นเหตุการณ์ ซึ่งพยานที่ว่านั้น ก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก เพราะอาจจะถูกตั้งคำถามกลับว่าทำไมพยานจึงไม่พยายามช่วยเหยื่อนับร้อยคน เพราะหากจำเลยมีอยู่เพียงหยิบมือเดียว ชาวบ้านที่มีจำนวนมากกว่าก็น่าจะสยบยามผู้หญิงกลุ่มนี้ได้ไม่ยาก

สิ่งที่ฝ้ายรู้สึกว่านี่คือลักษณะนิสัยของคนเยอรมันจริง ก็คือ การที่ฮันนา ให้การกับศาลว่า เธอเป็นยาม หน้าที่ของเธอคือการคุมนักโทษให้อยู่ในระเบียบ หากเธอเปิดประตูโบสถ์ เธอจะคุมนักโทษที่กำลังตระหนกและหนีตายเป็นร้อยได้อย่างไร? เธอถามศาลกลับด้วยซ้ำ อย่างไร้เดียงสา ซื่อ ว่าหากผู้พิพากษาเป็นเธอจะตัดสินใจอย่างไร?

เนื้อเรื่องยังพูดถึง การที่ ฮันนา ยอมรับผิดต่อศาล โดยมีหลักฐานเพียงชิ้นเดียว คือรายงานที่เขียนขึ้นถึงเหตุการณ์ที่เกิด และศาลขอให้จำเลย เขียนข้อความลงในกระดาษเพื่อนำไปเปรียบเทียบลายมือ ว่าใครในหมู่จำเลยเป็นคนเขียน ฮันนา ไม่ยอมเขียน และ ให้การกับศาลว่า 

เธอเป็นคนเขียนเอง 

ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว คำสารภาพนี้ ไม่เป็นความจริง เพราะฮันนา 

อ่านไม่ออกและเขียนไม่ได้ 

ซึ่งมิคาเอลคิดเรื่องนี้ออก จากการประมวลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน ซึ่งนั่นเป็นที่มาของชื่อหนังสือเรื่องนี้ “Vorleser การอ่านออกเสียงดัง  

เธอชอบฟังเรื่องราว แต่อ่านเองไม่ได้ จึงต้องขอให้นักโทษอ่านให้เธอฟัง เธอจึงไม่ได้รับรู้เรื่องสำนวนฟ้อง หรือหมายศาลที่ส่งไปหาเธอ 
เธอจึงปฏิเสธการเลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าของบริษัท Siemens หรือรถรางที่เธอทำงานเป็นคนตรวจตั๋ว 
เพราะเธอไม่สามารถอ่านหรือเขียนหนังสือได้

สิ่งที่เป็นคำถาม ทั้งของตัวฝ้ายเอง และของมิคาเอล ก็คือ ความลับนี้ มันน่าอับอาย จนเธอยอมสารภาพว่าเป็นอาชญากร เพียงเพราะกลัวคนจะรู้ว่าเธออ่านหนังสือไม่ออก? ทำไมเธอถึงยอมถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ก่ออาชญกรรมร้ายแรงที่คร่าชีวิตคนเป็นร้อย? มากกว่าจะถูกตราหน้าว่าเป็นคนไม่รู้หนังสือ ซึ่งไม่ใช่ความผิดร้ายแรงอะไร

สิ่งที่น่าสนใจต่อมาก็คือ มิคาเอล ผู้รู้ความจริงข้อนี้ ที่สามารถช่วยให้ฮันนาเป็นอิสระได้ ควรทำอย่างไร? เค้าควรจะไปให้การกับศาลหรือไม่? หรือเก็บเงียบไว้? อะไรคือสิ่งที่ถูก? อะไรคือสิ่งที่ควร? และทั้งสองสิ่งนี้ มันไปทางเดียวกัน หรือขัดแย้งกัน? สิ่งที่ถูกอาจจะเป็นสิ่งที่ไม่ควร แต่สิ่งที่ควรก็อาจจะไม่ถูกต้องก็เป็นได้

มิคาเอล ในวัยประมาณ 20 ก็ไปปรึกษาพ่อ ที่เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ซึ่งคำตอบของพ่อสมกับเป็นผู้ทรงคุณวุฒิมาก คือ
การที่เราจะไปเจ้ากี้เจ้าการ บอกคนที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว ว่าอะไรดีกับเค้า โดยไม่ให้เค้าเลือกเองเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ ถึงแม้ว่า ถ้าเราทำไปแล้วจะทำให้เค้ามีความสุข”​ ก็ตามที เพราะสิ่งที่เรากำลังพูดถึงตอนนี้ คือศักดิ์ศรีและเสรีภาพของคนคนนั้น แม้แต่ตอนเราเป็นเด็ก เรายังไม่ชอบเลย ที่แม่”​ เป็นคนที่ถูกเสมอ

แต่หากพูดถึงความรับผิดชอบ”​ ที่รู้สึกว่า เราพบหนทางที่จะทำให้ชีวิตคนคนหนึ่งดีขึ้น ซึ่งเค้ายังไม่รู้ กรณีนี้ เราควรต้องชี้ทางสว่างให้เค้า และให้เค้าตัดสินใจเอาเอง แต่ต้องบอกกับเค้าตรง ไม่ใช่พูดลับหลังเค้า หรือไปบอกคนอื่น

ตอนจบของเรื่องนี้ ยังมีเหตุการณ์หักมุมอยู่ ซึ่งฝ้ายก็คงจะไม่เปิดเผยตรงนี้ แต่อยากชักชวนให้ลองอ่านกันดูค่ะ ฉบับภาษาไทย 266 หน้า เชื่อเหลือเกินว่าควรค่าแก่การอ่าน แม้ว่าจะไม่ใช่นักกฎหมาย หรือไม่ได้สนใจเรื่องสมัยนาซีมากนัก

Kommentare

  1. สวัสดีค่ะ,

    ก่อนอื่นต้องขอโทษที่คอมเมนต์นี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับบทความเลย พอดีอยากจะขอคำปรึกษาจากคุณ Phaiy แต่หาช่องทางติดต่ออื่นไม่เจอ เลยขออนุญาติติดต่อผ่านทางนี้นะคะ

    พอดีตอนนี้สนใจด้าน Sustainable Management อยากขอคำปรึกษาเพราะไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรค่ะ อยากจะเรียนต่อเพิ่ม ตอนนี้พยายามหาข้อมูลอยู่ ไม่รู้ว่าที่ไหนดี และอยากจะขอทุน เพราะกำลังทรัพย์ไม่ค่อยแข็งแรง แต่ก็กังวลเรื่องคุณสมบัติและ reference เพราะไม่เคยทำงานด้านนี้มาเลย และไม่รู้ว่าจะเอาตัวเองเข้าไปทำงานด้านนี้ได้อย่างไร หากไม่ได้เรียนจบด้านนี้มาค่ะ
    จบวิศวเคมีมา ทำงานด้านที่จบประมาณ 7 ปี แต่รู้สึกว่ายังไม่ใช่สิ่งที่ชอบเท่าที่ควร

    ยังไงรบกวนตอบกลับที่อีเมล preamwongmaha@gmail.com ได้ไหมคะ เพราะกลัวว่าถ้าตอบในนี้จะหาไม่เจอ
    ขอบคุณมากๆ เลยค่ะ

    AntwortenLöschen

Kommentar veröffentlichen

Beliebte Posts aus diesem Blog

ส่งสัมภาระเกือบ 400 กิโลกรัมจากเยอรมันกลับไทยแบบ DIY

เหรียญสองด้านของการเป็น Au pair ในต่างแดน

ลองมาทำ Résumé เก๋ ๆ ด้วย Powerpoint ดูนะคะ