7+ ปี ใต้ปีกอินทรีเหล็ก

  #humantrafficking อะไรที่พูดในประเทศไทยไม่ได้ ตอนนี้ก็มีหลากหลายช่องทางที่จะนำรื้อสิ่งที่อยู่ใต้พรมออกมาสัมผัสแสงสว่าง ถึงแม้จะเป็นระยะสั้น ๆ ก็ตามที . คนที่เป็นตำรวจสืบสวนมือดี ต้องทิ้งทุกอย่างไว้ข้างหลัง แล้วไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ ทำงานใช้แรงงานในโรงงาน เรียนภาษาใหม่ตอนวัยใกล้เกษียณ 58 ปี หลังจากรับราชการมา 33 ปี อย่างซื่อสัตย์และเป็นตำรวจน้ำดี . ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ พอเห็นข่าวนี้ผ่านหน้า feed แล้ว #น้ำตาไหลได้ทุกครั้ง . เวลาที่คนออกมาเปิดโปงเรื่องอะไรที่ไม่ดีไม่ถูกต้อง ไม่ใช่เพราะเขาชังชาติ ไม่ใช่เพราะเขาไม่รักชาติ ไม่ใช่เพราะเขาเป็นคนทรยศ . แต่เพราะเขา still care คือ ยังรัก ยังห่วง ยังหวัง . ว่าประเทศบ้านเกิดเมืองนอนเราดีได้มากกว่านี้อีกมาก . และถ้าไม่รัก ไม่ใส่ใจ ไม่รู้สึก คงไม่เสียเวลาชายตาแล เสียเวลาพูดถึง หรือพยายามแก้ปัญหา ก็แค่ปล่อยไปตามยถากรรม . . เอาจริง ๆ คนไทยไม่ใช่คนโง่ ไม่เก่ง ไม่ฉลาด ไม่มีความคิดสร้างสรรค์ จากประสบการณ์การทำงานกับ International team ของ global professional firm มาตลอด 8 ปี ฝีมือคนไทย ไม่ด้อยไปกว่าทีมงานจากประเทศโลกที่ 1 เลยนะ . . หมดความอดทนเมื่อไห

  #enroute2022 การเดินทางไกลครั้งแรกหลังจากย้ายมาที่เยอรมนี คือ เดินทางขึ้นเหนือ เพื่อไปพบเพื่อน ๆ และอาจารย์ (ที่มีอายุตั้งแต่ 8 ขวบ ยัน 70 ปี เลยได้ฟังมุมมองจากหลาย generation มาก) ที่ไม่ได้เจอกันมานานนน แบบเกิน 6 ปี ไม่ได้ไปเที่ยวไหนหรือที่ใหม่ ๆ เป็นพิเศษ แต่เป็นการรื้อฟื้น ทบทวนความทรงจำ และประสบการณ์ชีวิตหลังจากย้ายกลับไปอยู่ไทย 7 ปี เนื้อหาที่พูดคุย มีความเข้มข้นมากกก เรื่องการเลี้ยงดูลูก ๆ วัฒนธรรม การเมืองการปกครอง และการตื่นรู้ของสาธารณชน . 🐣 การเลี้ยงดูของชาวเยอรมันรุ่น 1940-50 จะเหมือนกับการเลี้ยงดูของสังคมไทยในปัจจุบัน คือ พ่อแม่ "สั่งสอน" ลูก ไม่ใช่ พ่อแม่ "พูดคุย ถกเถียง อภิปราย" กับลูก แต่สังคมไทยก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไปในเชิงหลังมากขึ้นเรื่อย ๆ . . 📖 หนังสือเรียนของชาวเยอรมัน เพิ่งมีการสอนเรื่อง WW II ในยุคหลัง 1960 โดยเพื่อนเราที่เป็น Prof. ด้านวิศวกรรมอายุ 45 ปี บอกว่าได้เรียนเรื่องนี้ละเอียดมากในโรงเรียน . แต่ขณะเดียวกัน ก็รู้สึก "ประหลาดใจและผิดหวัง" ที่หนังสือเรียนไม่ได้พูดถึงสิ่งที่ชาวเยอรมันได้กระทำต่อประเทศ #อาณานิคม ในประเทศ Nami

ปกติไม่ค่อยอ่านงานเขียนของคนไทยหรือหนังสือภาษาไทยเท่าไหร่ แต่พอได้ฟังสัมภาษณ์ของพี่แหม่ม วีรพร แล้ว ก็ชอบความคิดของผู้หญิงคนนี้มาก เลยลองไปหางานเขียนของพี่เขามาอ่านเพิ่ม นอกจากนี้ ยังไปเข้า class เรียนการเขียนจากพี่แหม่มด้วยนะคะ ดังนั้น ไม่ได้เกลียดหรือไม่ชอบอะไรพี่แหม่ม แต่ก็วิจารณ์ตรงไปตรงมาตามจริตของเราเอง เมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมา ป่วยไข้ขึ้น เลยได้นอนยาวพักอยู่บ้าน เป็นโอกาสดี ที่จะ  #อ่านหนังสือ  แล้วก็  #detox  จากพวก  #socialmedia  ไปพร้อม ๆ กัน สรุปว่า อ่านไปได้ประมาณ 600 หน้า ตามนี้เลยค่ะ เ ล่มแรก #ไส้เดือนตาบอดในเขาวงกต #ภาษาเวิ่นเว้อมากกก ไม่ถูกจริตสุด ๆ แต่ก็ทนอ่านจนจบ ปกติไม่ค่อยอ่านหนังสือภาษาไทยอยู่แล้ว พอมาเจอภาษาเว่อวังแบบนี้ เลยยังรับไม่ทันเท่าไหร่ เนื้อเรื่องเป็นเรื่องราวรักสามเศร้า ที่ก็ไม่ถูกจริตเท่าไหร่นัก เพราะรู้สึกเหมือนกับว่า ชีวิตคนเรา มันมีแค่เรื่องความรักเท่านั้นเหรอ? คือมันตื้นเขินมาก สำหรับการเกิดมาเป็นมนุษย์ครั้งหนึ่ง สนใจได้แต่เรื่องของตัวเองว่าเรารักใครยังไงบ้าง ต้องไขว่คว้าพยายามขนาดไหนเพื่อรักษาไว้ สิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวจิตใจและชีวิตให้อยู่ในโลกนี้ ค

#มุมอ่านหนังสือ   ประทับใจทุกครั้ง เวลาที่ไปข้างนอก แล้วเจอคนอ่านหนังสือเหมือนกัน วันนี้ขึ้นรถเมล์เข้าเมือง ไปจัดการเอกสารและจ่ายตลาดหาของกิน ก็เจอน้องผู้หญิง น่าจะอยู่มหาวิทยาลัย หยิบหนังสือโปรดของเรามาอ่าน Das Parfum ของ Patrick Süskind ที่เขียนได้ดีมากกกก และเป็นหนังสืออ่านนอกเวลาของนักเรียนมัธยมที่เยอรมนีด้วยค่ะ Das Parfum (The Parfume แปลไทยน่าจะชื่อว่า #น้ำหอมมนุษย์) หนังสือเรื่องนี้ ถูกนำมาสร้างเป็น หนัง ในปี 2006 แนะนำให้ไปดูกันนะคะ แสดงดีสุด ๆ  และแก่นของเรื่องยังถูกนำมาทำเป็น series ใน netflix ปี 2018 เป็นเรื่องราวของ serial killer ในยุคสมัยใหม่มากขึ้น  . เนื้อเรื่อง (fiction) เป็นการเล่าถึงที่มาของ "ฆาตกรต่อเนื่อง" ในสมัยศตวรรษที่ 18 ซึ่งมีอัจฉริยะภาพด้านประสาทสัมผัสการ "รับรู้กลิ่น" ที่เหนือมนุษย์ปกติ สามารถแยกแยะกลิ่นเหล็ก กลิ่นก้อนหิน ที่คนทั่วไปไม่สามารถแยกแยะได้ โดยที่มาของตัวเอกนี้ ก็ถ้าเรียกภาษาบ้าน ๆ ของเรา ก็นอกจาก "ดวงแข็ง" แล้ว ยังเป็นแบบ  #ดวงกินเจ้านาย  หรือ  #ดวงกินผู้อุปถัมภ์  อีกด้วย . ความดีเด่นของเรื่องนี้ คือ การบรรยาย "