ย้ายกลับมาเยอรมนีแล้วค่า
หลังจากใช้ชีวิตที่บ้านเกิดเมืองนอนมา 7 ปี ก็ได้ฤกษ์กลับมาบ้านหลังที่สอง เพื่อทำปริญญาเอกต่อค่ะ
วันนี้มีเรื่องมาเล่า 10 วันแรกที่มาถึงที่นี่ค่ะ
พอจะเริ่มหายใจหายคอได้บ้างหลังจากมาถึงที่นี่ ก็เลยอยากจะบันทึกเหตุการณ์กระจุกกระจิก ที่ทำเอาเหวออยู่หลายจังหวะมาก คนต่างชาติคงจะบอกว่า
“Anything that can go wrong will go wrong.”
แต่ถ้าเอาคติไทย ๆ ก็คงจะต้องบอกว่า
“เจ้าที่เจ้าทางรับน้องได้ปังปุริเย่มากค่ะ”
#เรื่องที่หนึ่ง Labyrinth in Frankfurt Airport and the lost car x ticket
7:00, 20 Oct 2021 เครื่องบินแตะพื้นที่ Frankfurt Flughafen ตรงเวลาเป๊ะ ๆ ตามตารางเวลา เป็นการบินครั้งแรกกับ Qatar Airway และนั่ง Business Class เป็นครั้งแรกเช่นกัน (ลังเลอยู่นานมากว่าราคามันแพงไป แบบ 3x,000 แล้วได้รับความเห็นจากญาติ ๆ ว่า “แก่แล้ว จ่ายเงินซื้อความสบายในการเดินทางบ้างก็ดีนะ จะงกไปไหน?” 55555)
สรุป เป็นการเดินทางที่ประทับใจมาก เพราะบริการโอเค นอนสบาย มีชา Twinings ให้ดื่มตลอด ถึงแม้ตอนขาที่บินจาก Doha-Frankfurt มีดราม่าบนเครื่องบินให้เสพ ถึงขั้นที่ Manager ของแอร์โอสเตส (ซึ่งเป็นสาวเอเชีย) ต้องออกมาควบคุมสถานการณ์ ซึ่งตามมุมมองคนนอกอย่างเรา ก็เห็นใจทั้งสองฝ่าย
7:40 เดินผ่านเข้า immigration เป็นคนแรก เจอเจ้าหน้าที่ผู้ชายชาวเยอรมัน ผมบลอนด์ เตรียมจะหยิบเอกสารอื่น ๆ เพื่อแสดงตามที่อ่านมา แต่สรุปว่า ไม่ได้ใช้เลยจ้าาา และการตรวจสอบจบใน 3 นาที ด้วยบทสนทนาที่กระชับสั้นสุด ๆ (สั้นกว่าตอนผ่าน immigration ที่ NYC และ Boston ที่นั่นยังถามว่ามาทำอะไร อยู่กี่วัน แบบ 5-7 นาทีได้)
01:00 “ขอหนังสือเดินทางด้วยครับ”
02:00 “ช่วยถอดหน้ากากด้วยครับ”
02:30 “มีผลตรวจเชื้อโควิดแล้วใช่มั้ยครับ?” เราพยักหน้าและหยิบผลให้เจ้าหน้าที่ ที่ไม่ดูนะ
03:00 “โอเค ไปได้ครับ” ส่งเอกสารทุกอย่างคืน
เดินต่อมาตรงส่วนรับกระเป๋า เดินไปเอาล้อเข็น ซึ่งต้องจ่ายเงินเข้าตู้อัตโนมัติ เพื่อเอาล้อเข็นออกมาใช้ แล้วไปหยิบกระเป๋า ที่ไม่ต้องรอเลย เพราะออกมาครบแล้ว 3 ใบ จัดกระเป๋าทั้งหมดขึ้นล้อเข็นออกมารอเพื่อนมารับ
7:58 ถ่ายรูปจุดที่ยืนรอเพื่อนมารับให้เค้าดู 10 นาทีต่อมาก็โผล่หน้ามาให้เห็น
ความวุ่นวายเริ่มจากตรงนี้ คือเพื่อนเป็นชาวเยอรมัน ดังนั้น ไม่มีข้อจำกัดใด ๆ ด้านภาษาหรืออื่น ๆ แต่ที่น่าประหลาดคือ จากจุดที่เราออกมาจาก Terminal แล้วพยายาม #หาทางลงไปที่จอดรถ เบอร์ 327 (ตอนนางเดินขึ้นมาหาเราจากที่จอด นางอินดี้ ไม่ได้เดินไปขึ้นลิฟต์ แต่เดินขึ้นบันไดมา ทำให้เวลาจะลงไป มันลงบันได พร้อมกระเป๋า 5 ใบไม่ได้)
ใช้เวลาเกือบชั่วโมง เพื่อหาลิฟต์ที่จะเอาล้อเข็นขนกระเป๋าลงไปจุดนั้นได้ เราไปดูแผนผังที่จอดรถ ก็เห็นได้ว่ามันอยู่จุดเดียวกับที่ยืนอยู่น่ะล่ะ แต่อยู่ต่ำลงไปอีกหลายชั้นเลย แล้วพอมองหาป้ายที่ชี้ไป parking มันก็พาเดินไปอีกทิศที่ยืนอยู่
อ่ะ เราตัดสินใจเดินตามป้ายไปจนเจอส่วนที่เป็นที่จอดรถ และเจอเครื่องรับจ่ายเงินค่าจอดรถ (ที่นี่ไม่มีมนุษย์ทำงานอยู่เลย) ก็ได้ยินเพื่อนเอาบัตรจอดรถเสียบเข้าไป และบอกว่าค่าจอด 1€ ซึ่งตอนนั้นเราไม่ได้มองตัวเครื่องเลย เพราะมัวแต่มองหาลิฟต์ที่จะไปจุดที่จอดรถ แต่ในใจคิดว่า เออ ค่าจอดรถไม่แพง
พอไปถึงลิฟต์ แผนผังก็บอกอีกว่า ลิฟต์ทั้งหมด 5-6 ตัวตรงโถงนี้ จะไม่ลงไปตรงจุดที่จอดรถไว้ และการลากล้อเข็นข้ามจาก 396 ไปจุด 327 ก็ไม่ตลกเลย เลยตัดสินใจ เดินวนหาลิฟต์ให้ตรงจุด
คือเดินวนอยู่ 3-4 รอบ แล้วปวดท้องเมนส์มากด้วย เลยยิ่งหงุดหงิด แต่คุณเพื่อนก็ยังสนุก บอกว่าไม่ได้เจอเรานาน อยากใช้เวลาด้วยกัน คือ มันใช่มั้ย? ใช้เวลาแบบอื่นก็ได้ป่ะ
สรุป ผ่านไป 45 นาที หาทางลงไปได้ใกล้ ๆ ที่สุดคือ แถว 345 แล้วเข็นรถเข็นเดินต่อเอา
กำลังสบายใจ เพราะเอาของขึ้นรถหมดแล้ว ก็มีระลอกสอง #บัตรจอดรถหาย จ้าาาาา คือแบบ หลังจากแน่ใจว่ารื้อกระเป๋าเสื้อ กางเกงหมดแล้ว และแน่ใจว่าหายจริง ในใจนี่อยากจะกรี๊ด ๆๆๆ คือเอาจริงดิ คาดว่า นางสอดบัตรจ่ายเงินในตู้อัตโนมัติแล้ว ลืมหยิบออกมา
เดินไปขึ้นลิฟต์ที่ใกล้ ๆ ที่จอด (ที่เดินวนหามาเกือบชั่วโมง) เพื่อกลับไปส่วนของสนามบิน และที่ #ตลกร้าย คือ พอออกจากลิฟต์ตัวนี้ พวกเรา #โผล่ออกมาตรงจุดเริ่มต้น คือจุดที่เรายืนรอเพื่อนมารับตอนแรก และอ่านแผนผังที่จอดรถ ทางเข้าลิฟต์มันมีประตูกั้นก่อน แล้วไม่มีป้ายบอกว่าเป็น parking ตรงไหนเลย ทำให้พวกเรา เดินไปตามป้าย แทนที่จะเปิดประตูกั้นแล้วลองกดลิฟต์ลงไปเอง
อ่ะ ปัญหามีไว้แก้
วิธีแรก ไปที่ตู้อัตโนมัติ อาจจะโชคดี เผื่อไม่มีใครหยิบไป และแน่นอน พอไปถึง ไม่อยู่แล้วจ้ะ
วิธีสอง ถาม มีคุณตำรวจกลุ่มใหญ่ เลยถามว่าต้องทำยังไง? ตำรวจแนะนำให้ทำ วิธีสาม
วิธีสาม ถาม Information ตรงส่วน Departure ซึ่งเจ้าหน้าที่ผู้หญิงให้คำแนะนำว่าต้องโทรไปคุยกับส่วนจอดรถ ซึ่งนางก็ใจดี ต่อสายให้เราคุยได้เลย โดยเจ้าหน้าที่ในสาย บอกว่า ให้เดินกลับไปที่ตู้อัตโนมัติ ที่จ่ายเงินไป แล้วไปหาปุ่ม Notruf (ประมาณปุ่มโทรฉุกเฉิน) จะมีคนรอรับสาย เพื่อแก้ปัญหานี้ให้
พอได้ยินแบบนี้ ก็เดินตามเส้นทางเดิม (ที่เดินวนหลายรอบมาก ตอนหาที่จอดรถ) ไปที่ตู้อัตโนมัติ กดปุ่มโทรออก พอมีเสียงคนตอบมา นี่บอกเลย ว่าดีใจมากกกกกกก เค้าก็ให้จ่ายเงินเพิ่มอีก 2.5€ แล้วก็ได้บัตรจอดรถในที่สุด
9:45 ออกจากสนามบิน มุ่งหน้าสู่เมือง Gießen
คือ เสียเวลา 2 ชั่วโมงไปกับการเดินวนเหมือนอยู่ในเขาวงกต ให้ความรู้สึกเหมือนมีคนแกล้งอ่า แบบคนหลงป่าที่มีผีคอยบังไม่ให้เห็นทางออกอะไรแบบนี้อ่ะ
เดินไปขึ้นลิฟต์ที่ใกล้ ๆ ที่จอด (ที่เดินวนหามาเกือบชั่วโมง) เพื่อกลับไปส่วนของสนามบิน และที่ #ตลกร้าย คือ พอออกจากลิฟต์ตัวนี้ พวกเรา #โผล่ออกมาตรงจุดเริ่มต้น คือจุดที่เรายืนรอเพื่อนมารับตอนแรก และอ่านแผนผังที่จอดรถ ทางเข้าลิฟต์มันมีประตูกั้นก่อน แล้วไม่มีป้ายบอกว่าเป็น parking ตรงไหนเลย ทำให้พวกเรา เดินไปตามป้าย แทนที่จะเปิดประตูกั้นแล้วลองกดลิฟต์ลงไปเอง
อ่ะ ปัญหามีไว้แก้
วิธีแรก ไปที่ตู้อัตโนมัติ อาจจะโชคดี เผื่อไม่มีใครหยิบไป และแน่นอน พอไปถึง ไม่อยู่แล้วจ้ะ
วิธีสอง ถาม มีคุณตำรวจกลุ่มใหญ่ เลยถามว่าต้องทำยังไง? ตำรวจแนะนำให้ทำ วิธีสาม
วิธีสาม ถาม Information ตรงส่วน Departure ซึ่งเจ้าหน้าที่ผู้หญิงให้คำแนะนำว่าต้องโทรไปคุยกับส่วนจอดรถ ซึ่งนางก็ใจดี ต่อสายให้เราคุยได้เลย โดยเจ้าหน้าที่ในสาย บอกว่า ให้เดินกลับไปที่ตู้อัตโนมัติ ที่จ่ายเงินไป แล้วไปหาปุ่ม Notruf (ประมาณปุ่มโทรฉุกเฉิน) จะมีคนรอรับสาย เพื่อแก้ปัญหานี้ให้
พอได้ยินแบบนี้ ก็เดินตามเส้นทางเดิม (ที่เดินวนหลายรอบมาก ตอนหาที่จอดรถ) ไปที่ตู้อัตโนมัติ กดปุ่มโทรออก พอมีเสียงคนตอบมา นี่บอกเลย ว่าดีใจมากกกกกกก เค้าก็ให้จ่ายเงินเพิ่มอีก 2.5€ แล้วก็ได้บัตรจอดรถในที่สุด
9:45 ออกจากสนามบิน มุ่งหน้าสู่เมือง Gießen
คือ เสียเวลา 2 ชั่วโมงไปกับการเดินวนเหมือนอยู่ในเขาวงกต ให้ความรู้สึกเหมือนมีคนแกล้งอ่า แบบคนหลงป่าที่มีผีคอยบังไม่ให้เห็นทางออกอะไรแบบนี้อ่ะ
Kommentare
Kommentar veröffentlichen