17 ปีกับ Purpose of Living

 


ระยะนี้ได้มีโอกาสสัมผัสกับน้อง ๆ Gen Z มากขึ้น เลยได้ทำหน้าที่แนะแนวคนรุ่นใหม่ที่สนใจเรื่อง ESG หรือ Sustainability บ่อย ๆ
การมาถึงของ ESG mainstream ในประเทศไทยเมื่อ 1-2 ปีที่ผ่านมานี่น่าสนใจมาก เพราะได้เห็นคนรอบข้างที่เมื่อ 17 ปีก่อนเคยสงสัย (รวมพ่อแม่และญาติพี่น้องด้วย แต่ทุกคนเชื่อใจเรา แบบ “เออ ฝ้ายอยากทำอะไรก็ทำไปเถอะ เอาตัวรอดให้ได้ละกัน”) ว่า
📍 เราไปเรียนอะไร? แล้วจะทำงานอะไรเรื่องความยั่งยืน? มันมีงานให้ทำด้วยเหรอ?

เปลี่ยนเป็นมาถามว่า
📍เฮ้ย แกรู้ได้ยังไงว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องที่คนทั่วโลกจะสนใจ?
📍ตอนนั้นแกคิดยังไงวะ ถึงไปเรียน MBA for Sustainability Management?
ย้ำว่าไปเรียนปี 2007 คือเมื่อ 14 ปีที่แล้ว แต่วางแผนและทำการบ้านเรื่องไปเรียนต่อตั้งแต่ 2005 นะ (อยู่ปี 3 อายุ 21)
📍เออ มึง ตอนนี้คนที่ทำงานพูดเรื่อง ESG แบบตื่นเต้นเหมือนเด็กเห่อของเล่นใหม่ กูเลยนึกถึงมึงเลย ว่างานที่มึงทำมันเรื่องนี้นี่หว่า เป็น #ผู้มาก่อนกาล มากกก

ดูจากสถานการณ์ตอนนี้แล้ว บอกได้เลยว่า ESG มันจะไม่ใช่ #กระแส แบบแฟชั่น แต่จะกลายเป็น norm ที่ถ้ายังมีคนถามว่าทำไปทำไม? คุณคือคนหลงยุคแล้วล่ะ



จบการอวยตัวเอง ขอเอาจุดประสงค์หลักที่เขียน ก็คือ
“อะไรคือส่ิงที่ทำให้เรายืนหยัดในความเชื่อเรื่อง sustainability in business?”


อย่างที่เล่าไปตอนต้น และหลาย ๆ ครั้งใน blog ของเราและ ๗ ปีใต้ปีกอินทรีเหล็ก ว่ามันมี #แรงเสียดทาน อยู่เป็นระยะตลอดการเดินทางสร้าง career path ด้านนี้
เริ่มจะไปเรียน 2005-07 (อายุ 21-23) ครูอาจารย์ เพื่อน ๆ รุ่นพี่
📍จะไปเรียนอะไรอ่ะ? แบบทำ NGO ประท้วง ๆ แบบ Greenpeace น่ะเหรอ?
📍MBA ใครเค้าไปเรียนที่เยอรมันกัน ต้องไปเมกากับอังกฤษสิ ไม่งั้นก็ออสเตรเลีย
📍จบมาจะทำงานอะไร ใครเค้าจะรับ มหาวิทยาลัยเยอรมันไม่ดังนะ
📍โห ต้องเรียนภาษาเยอรมันด้วยเหรอ? แบบนี้ กี่ปีจบเนียะ? เสียเวลาชีวิต เพื่อน ๆ เค้าคงเรียนจบก่อนเธอไปนานล่ะ
ช่วงที่เรียนอยู่ที่เยอรมัน 2007-11 (อายุ 23-27) ได้ต้อนรับคณะผู้บริหารคนไทย จากบริษัทใหญ่ ๆ ที่ไปดูงานที่เยอรมัน
📍เรียนโทอะไรตั้ง 4 ปี เพื่อน ๆ รุ่นเดียวกับเธอตอนนี้เข้าทำงานไต่ระดับเป็น Manager กันหมดแล้ว เธอยังไม่เริ่มอะไรเลย เสียเวลามากนะ เรียนอะไรก็ไม่รู้
ทั้งช่วงที่เริ่มหางานทำที่เยอรมนี 2011-12 (อายุ 27-28) ความเห็นของ Professor ที่มหาวิทยาลัย
📍ผมว่านะ คุณกลับไปหางานทำที่ไทยเถอะ เพราะผมคงไม่แนะนำคุณให้ไปสมัครงานที่ไหนในประเทศนี้ เนื่องจากภาษาเยอรมันคุณยังไม่ดีพอ และผมว่า MBA Thesis เรื่อง water footprint of food product ของคุณมันได้คะแนนดีเกินไป

ทั้งหมดทั้งมวล ตอนได้ยินต่อหน้า ก็อึ้ง เสียใจ และร้องไห้หนักมากกก 😭 โดยเฉพาะกรณีสุดท้าย เพราะคาดหวังว่า Prof. จะให้คำแนะนำในการหางาน
(ป.ล. เราเป็นคนร้องไห้แบบไม่แคร์สื่อนะ วันนั้นตอนเดินออกจากห้อง น้ำตาไหลตลอดทางเดินกลับบ้านเลย ไม่สนว่าคนจะเห็นอ่ะ ไม่แอบร้องไห้ ร้องกลางเมือง กลางถนนนี่ล่ะ 🥲)

แต่ ถามว่าเราเอาความเห็นเหล่านี้ มามีอิทธิพลต่อการเดินทางของเรามั้ย?​
ไม่นะ ไม่เลย
เราปล่อยให้ความเห็นเหล่านี้มันผ่านหู
เข้าไปในสมอง
ประมวลผล เทียบกับ my core value
แล้วพบว่า it’s just comments


เพราะเป้าหมายของเราคือการทำงานเลี้ยงชีพ (ชูชีพ) ที่ตอบ purpose ของการมีชีวิตอยู่ของเรา (ชูใจ)
core value ของเราคือการปกป้องสิ่งที่อ่อนแอกว่าหรือสิ่งที่ไม่มีทางสู้ ซึ่งใน ESG
📍E มันตอบโจทย์ เพราะคือการปกป้องสิ่งแวดล้อม สัตว์โลก ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ แต่ต้องมาสูญพันธ์เพราะความโลภที่ไม่สิ้นสุดของมนุษย์
📍S คือการดูแลเงื่อนการจ้างงาน สิทธิมนุษยชนต่าง ๆ ที่ถูกเอาเปรียบจากบริษัท
📍ส่วน G จะเป็นเรื่องของการทำให้ธุรกิจมีความโปร่งใสในการทำงาน ไม่เอาเปรียนผู้ถือหุ้น ไม่เอาข้อมูลของลูกค้าไปใช้ประโยชน์โดยไม่เป็นธรรม
fulfilment ของการทำงาน ESG คือการที่สามารถ convince C-Suite ให้เห็นว่า
📍ธุรกิจสามารถสร้างผลกำไร ได้จากการทำสิ่งที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม
📍เห็นการเปลี่ยนมุมมอง มองภาพองค์รวม ไม่ใช่แค่เงิน
📍เห็นการมองภาพยาว และคำนึงถึงคนรุ่นหลังมากขึ้น
ทั้งนี้ ไม่ได้คาดหวังให้ธุรกิจ ที่หลาย ๆ ครั้งคนจะมองว่าเป็นมหาโจร ให้กลายเป็นนักบุญในชั่วข้ามคืน เป้าหมายของเราคือแค่ less dirty ก็พอสำหรับก้าวแรกล่ะ


ณ ตอนนั้น เราไม่รู้หรอกว่า ESG มันจะเป็นกระแสเป็นแฟชั่น ที่คนทุกวงการเอามาพูดถึงแบบวันนี้ เอาจริง ๆ คือเราไม่สนใจด้วยซ้ำ ว่าจะเป็น mainstream รึเปล่า เพราะถึงมันจะไม่เป็น เราก็เห็น impact จากหน้างานที่เราทำอยู่แล้ว เป็น niche ก็แค่เหนื่อยหน่อย เพราะต้องพูดอธิบายเยอะ

#17ปีตลอดการเดินทาง พลังงานและความมุ่งมั่นในการผลักดันเรื่อง ESG มันยังไม่ลดลงเลยนะ ยังมีแรงมาเรียนเอกที่เยอรมนี ต่อยอดเรื่อง sustainability valuation ถ้าเปรียบเสมือนไฟ ก็เหมือน #ไฟสุมขอน ที่ไม่ได้โชติช่วงเหมือนกองไฟกองใหญ่ แต่เป็นไฟที่ไม่เคยดับและเผาผลาญเงียบ ๆ อย่างต่อเนื่อง

อยากจะบอกน้อง ๆ ที่กำลังหาตัวเอง เราเป็น a real case study ที่
📍หา #สิ่งที่จุดประกายชีวิต ของตัวเองเจอ
📍คอยทดสอบว่าสิ่งที่เจอมันใช่จริง ๆ
เมื่อเจอและมั่นใจแล้ว ไปให้สุด อย่าหยุดพยายาม ความเห็นของคนรอบข้าง ก็เป็นแค่เพียงลมพัดผ่าน ไม่ใช่แสงดาวนำทาง

hence I will find a way, or make one.

Kommentare

Beliebte Posts aus diesem Blog

ส่งสัมภาระเกือบ 400 กิโลกรัมจากเยอรมันกลับไทยแบบ DIY

เหรียญสองด้านของการเป็น Au pair ในต่างแดน

ลองมาทำ Résumé เก๋ ๆ ด้วย Powerpoint ดูนะคะ