25 days of pilgrimage – Day 3 Hamburg & Lüneburg


Montag 5. September

ตื่นมาด้วยความรู้สึกมึนงง แล้วก็กินข้าวเช้าง่าย ๆ ซึ่งก็คืออาหารที่ห่อมาจาก Emirates นั่นเอง


เมื่อเก็บข้าวของเรียบร้อย ก็ออกมาเดินเล่นในเมือง Hamburg ซึ่งบรรยากาศก็ยังอึมครึมเหมือนเดิม ตัดสินใจเดินไปหาน้ำ แล้วค่อยหาอะไรกิน ก่อนออกเดินทางไป Lüneburg นั่งเล่นอยู่ตรง Rathaus ทักทายเหล่าหงส์ เป็ด และนกน้ำแถวนั้น แล้วก็ทานอาหารเช้าที่ Alex Hamburg ตรงริมทะเลสาบ พร้อมดูน้ำพุที่จำลองมาจากทะเลสาบเจนีวา


ประมาณบ่ายสองก็ออกเดินทางมา Lüneburg โดยรถไฟ Metronom เพื่อมาพักที่บ้านเพื่อน หรือจริง ๆ แทบจะเป็นคุณพ่อของเราที่นี่ เราเห็นลูกสาวคนแรก ตั้งแต่อยู่ในท้องตอนที่เรามาถึงเยอรมนีในปี 2007 และน้องเล็กสุด เราทันเห็นตอนเป็นทารกที่เพิ่งเกิดได้ไม่กี่เดือน แล้วเราก็ลากลับไทยไป


อากาศที่เมืองเล็กแห่งนี้ ๆ ค่อนข้างอบอุ่น ซึ่งทำให้การลากกระเป๋าล้อเลื่อนบนถนนที่ปูด้วยหินก้อนและเรียงไม่เท่ากัน  เป็นภารกิจที่ใช้กำลังเยอะและปวดแขนในระดับหนึ่ง ครอบครัวคุณ T อาศัยอยู่ในบ้านเก่าอายุกว่า 80 ปี แต่ภายในได้รับการบูรณะตกแต่งใหม่อย่างดี พร้อมภรรยา และลูกสามคน ที่ได้รับมรดก ตาสีฟ้ากลมโต และขนตาสีเข้มเป็นแพยาว เหมือนคุณพ่อ แบบสำเนาถูกต้องสุด ๆ

ห้องนอนสำหรับสองคืนถัดจากนี้ คือห้องนอนของลูกสาว น้อง F อายุ 8 ขวบ เป็นเตียงสำหรับเด็กที่เราสามารถนอนได้พอดี แต่คนที่สูงกว่า 165 คงจะอึดอัด เก็บของเรียบร้อยก็ได้เวลาไปทำความรู้จักกับน้อง ๆ ที่จริง ๆ แล้วเราเห็นเด็ก ๆ ทั้งสามคนตั้งแต่อยู่ในท้องแม่เลยล่ะ



น้องคนโตจำเราได้อยู่แล้ว เพราะเราไปเยี่ยมครอบครัวนี้เรื่อย ๆ ตอนอยู่เยอรมัน

ตอนที่น้องยังเล็ก แบบเพิ่งเริ่มพูด เราก็ไปเยี่ยมคุณพ่อของน้อง ที่ความไร้เดียงสาของเด็ก ยังทำให้เราจำได้ถึงช่วงเวลาน่ารัก ๆ ทั้งที่ผ่านมานานกว่า 5 ปีแล้ว เรื่องก็คือ ระหว่างที่น้องกำลังกินซุปด้วยตัวเองอยู่ เราก็คุยกับคุณ T เรื่องสัพเพเหระเกี่ยวกับมหาวิทยาลัย ซึ่งเราก็เรียกชื่อเขาระหว่างที่คุยกัน แล้วน้อง F ก็พูดขัดขึ้นมาว่า

“Das ist aber Papa, nennst doch Papa”

คือ น้องบอกว่า “นี่คุณพ่อนะ เรียกคุณพ่อสิ”

เราก็อึ้งนิด ๆ แล้วก็หัวเราะ

คุณ T ก็สอนลูกว่า “หนูรู้นี่นา ว่าพ่อชื่ออะไร ฝ้ายเรียกชื่อพ่อก็ถูกแล้วนะ”
แล้วตาสีฟ้าคู่สวย พร้อมด้วยขนตายาวเป็นแพ ก็มองตอบกลับมาแบบ อืม...คงเข้าใจมั้ง


กลับมาที่ปัจจุบัน น้อง M ลูกชายคนกลาง อายุ 6 ขวบ กำลังขมักเขม้น คิดเลขเอง เพราะเพิ่งเข้าประถม 1 ได้เดือนเดียว แต่น้องขยันมาก คอยถามเราว่าจะให้คิดเลขแบบไหนอีก นอกจากนี้ น้อง M มีระเบียบสุด ๆ น้องพาเราไปดูโต๊ะเขียนหนังสือของตัวเอง ในห้องที่ประกอบด้วยเตียงสองชั้น ที่แชร์กับน้อง L น้องชายคนเล็ก


น้อง M เอาแฟ้มเก็บเอกสารที่สะสมไว้มาอวดเรา แล้วบอกว่าเอกสารถูกจัดเก็บเข้าแฟ้มตามวันที่ที่น้องได้รับมา - สุดยอดมากสำหรับเด็กอายุ 6 ขวบ ที่จัดทุกอย่างเป็นระเบียบเองโดยที่พ่อแม่ไม่ได้บังคับด้วย
น้อง M ก็จำเราได้ เพราะมีรูปคู่กันอยู่ที่บ้าน ตอนเรามาเยี่ยมครั้งก่อน พร้อมกับเอาไวโอลินมาด้วย แล้วน้อง M ก็เล่นกีต้าร์ คลอไปกับไวโอลินแบบงง ๆ กันทั้งคู่


ส่วนน้องเล็กสุด น้อง L วัย 3 ขวบ ที่พูดได้แล้ว แต่ยังไม่ชัดมาก น่ารักมุ้งมิ้ง ด้วยผมบลอนด์เป็นลอน แก้มยุ้ย พุงแน่นน่าฟัดสุด ๆ สิ่งเหล่านี้ มาพร้อมน้ำหนักตัวกว่า 20 กก. และส่วนสูงที่เทียบกับเด็กไทย นึกว่าเด็ก 6 ขวบ น้อง L มีความสุขที่สุดกับการกิน กินไปยิ้มไป happy สุด ๆ อ่า เห็นแล้วก็อดยิ้มตามไปไม่ได้

เด็ก ๆ บ้านนี้ตัวโตมาก ตั้งแต่เป็นทารกเลยล่ะ โดยน้อง M ตัวใหญ่สุด ด้วยน้ำหนักแรกคลอด 4,200 กรัม lol แต่โตมาก็ไม่ได้เป็นเด็กอ้วน หุ่นสูงชะลูดเชียวล่ะ สำหรับเด็ก 6 ขวบ ดังนั้น คนที่รับบทหนักที่สุดของครอบครัวนี้ คงเป็นคนอื่นไปไม่ได้นอกจากคุณแม่ ที่ต้องอุ้มท้องและดูแลลูก ๆ ซึ่งเท่าที่สัมผัสครอบครัวนี้มา คุณแม่จะเป็นคนคุมกฎของบ้าน และลูก ๆ จะกลัวคุณแม่มากกว่าคุณพ่อ แต่ที่ดีก็คือคุณพ่อต้องทำทุกอย่างได้เหมือนคุณแม่ แน่ล่ะ ยกเว้นเรื่องให้นม ซึ่งรวมถึงการเปลี่ยนผ้าอ้อม การอ่านหนังสือก่อนนอน การทำอาหาร ป้อนข้าว ป้อนนม รวมทั้ง “เย็บผ้า” จ้ะ ซึ่งเราขำมากกับภาพ ผู้ชายผมบลอนด์ ตัวหนา สูงเกิน 190 กำลังช่วยลูกสาวเย็บตุ๊กตานกฮูกให้ โดยเริ่มตั้งแต่การเอาด้ายใส่ในรูเข็ม พอเย็บเป็นตัวแล้ว ลูกสาวยังอยากให้นกฮูกน้อยมีเท้าด้วย ซึ่งก็มีการต่อรองกันเล็กน้อยจากคุณพ่อว่า “ไม่ต้องมีก็ได้มั้ง” แต่ก็ไม่สำเร็จ สรุปว่า ต้องเย็บเท้าเข้าไปด้วย -_-


มื้อเย็น เป็นอาหารง่าย ๆ ที่ไม่ได้ทำการหุงต้ม หรือก็คือการทานแบบเย็น ๆ ซึ่งประกอบด้วย ขนมปังแบบเยอรมัน ที่มีธัญพืชผสมอยู่ในเนื้อขนมปังสีดำ ทานกับชีสสารพัดชนิด แล้วก็นั่งคุยกัน พร้อมสอนภาษาไทยให้น้อง ๆ ส่วนน้อง F ที่กำลังเรียนประถม 3 ก็ฝึกพูดภาษาอังกฤษกับเรา เพราะเพิ่งเริ่มเรียนภาษาอังกฤษในโรงเรียนปีนี้ ซึ่งเท่าที่เราจำได้ ถือว่าเรียนช้ากว่าที่ไทยนะ เพราะจำได้ว่าเราเริ่มเรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่ประถม 1 เลยล่ะ อย่างไรก็ตามจากประสบการณ์ตรงและเท่าที่สัมผัสการใช้ภาษาอังกฤษของคนไทยและคนเยอรมัน ถึงแม้ที่นี่จะเรียนช้ากว่ามาก แต่ก็ดูจะเอาไปใช้ได้จริงมากกว่าการเรียนตามระบบไทยนะ

น้อง M เป็นคนเดียวที่ถนัดซ้ายเหมือนกับพ่อ ซึ่งจะเห็นได้ว่า เวลาเขียนหนังสือหรือเขียนตัวเลข จะเขียนกลับข้างกัน ซึ่งคุณ T ก็บอกว่าตอนยังเด็ก เขาเริ่มเขียนหนังสือจากขวาไปซ้ายด้วยซ้ำ แล้วค่อย ๆ เปลี่ยนตอนโตขึ้น

หลังจากบอก Gute Nacht กับน้อง ๆ ตอนสองทุ่มแล้ว พวกผู้ใหญ่ก็มานั่งคุยกันต่อ จนถึงเวลานอนตอนสี่ทุ่ม สิ่งที่เราโหยหามากและพบมันที่นี่คือ

“ความเงียบ”

คือมันสงบแบบไม่ได้ยินอะไรเลย เหมือนโลกทั้งโลกกำลังหลับอยู่จริง ๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ หาได้ยากที่กรุงเทพ ตั้งแต่เรากลับมาอยู่ที่มหานครบ้านเกิดเมืองนอน จนตอนนี้ก็สองปีได้แล้ว ในหลาย ๆ ครั้งเรารู้สึกว่าเรากำลังป่วยจาก

“มลพิษทางเสียง”

ที่ในบางครั้ง มันดังเสียจน เราไม่ได้ยินด้วยซ้ำว่าเรากำลังคิดอะไรอยู่

ทางเดียวที่เรารู้สึกสงบจากมลพิษเหล่านี้ คือ การไปว่ายน้ำหลังเลิกงาน หรือการซ้อมไวโอลิน ที่เสียงของแผ่นไม้ชิ้นเล็ก ๆ นี้ กลบเสียงรบกวนจากภายนอกเสียหมด


Let’s celebrate silence ด้วย วงดนตรีโปรดตลอดกาลของฝ้ายนะคะ


The sound of Silence - Simon & Garfunkel 1964




Kommentare

Beliebte Posts aus diesem Blog

ส่งสัมภาระเกือบ 400 กิโลกรัมจากเยอรมันกลับไทยแบบ DIY

เหรียญสองด้านของการเป็น Au pair ในต่างแดน

ลองมาทำ Résumé เก๋ ๆ ด้วย Powerpoint ดูนะคะ