25 days of pilgrimage – Day 5 Lüneburg & Hamburg
Mittwoch 7. September
6:30 am
เมื่อคืนเก็บของจัดกระเป๋าเรียบร้อย วันนี้เลยตื่นตอน 6:30
am เพื่อแต่งตัวพร้อมลงไปทานอาหารเช้ากับเด็ก ๆ ซึ่งก็ประกอบด้วย müsli และผัก
ผลไม้สด ที่ดีต่อสุขภาพสุด ๆ เด็ก ๆ ถูกควบคุมปริมาณขนมและของหวานที่กินได้ต่อวัน
เพื่อไม่ให้น้อง ๆ อ้วนเกินไปนั่นเอง
เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว เราก็ออกเดินทางไปส่งน้อง ๆ คนโตสองคนไปโรงเรียน
ที่อยู่ห่างจากประตูบ้านไป 50 เมตร!!! ชีวิตดี๊ดี
ไม่ต้องติดแหง่กอยู่ในรถเหมือนเด็กกรุงเทพ จากภาพประกอบด้านล่าง
จะเห็นได้ว่าเค้ามีการกั้นทางสำหรับจักรยานด้วยอิฐสีแดง
คนเดินเท้าก็ต้องหลบมาเดินตรงที่เป็นอิฐสีเทา
8:30 am
หลังจากเข้าไปเยี่ยมชมโรงเรียนประถมเสร็จ ก็กลับบ้านเพื่อพาน้องคนสุดท้องไปส่งที่โรงเรียนอนุบาล
ที่อยู่ห่างออกไปหน่อย ประมาณ 200 เมตรได้ น้อง L
เตรียมพร้อมเดินทางไปโรงเรียนด้วยจักรยานคันเล็ก สำหรับเด็ก เพื่อฝึกการทรงตัว
แล้วคุณแม่ก็เล่าว่า ที่ปล่อยให้น้อง L ขี่จักรยานนำหน้าไป
โดยไม่ต้องตามประกบอย่างใกล้ชิดนั้น เป็นเพราะว่าน้องได้รับการเรียนรู้กฎในการขี่จักรยานเบื้องต้นแล้ว
เช่น บนพื้นถนน เมื่อเจอสัญลักษณ์ให้หยุดรอเป็นรูปรอยเท้า น้องก็ต้องหยุด
แล้วยังต้องเรียนรู้กฎกติกาอื่น ๆ อีก ซึ่งเมื่อเด็ก ๆ สามารถจดจำข้อบังคับต่าง ๆ
ได้ ก็จะได้สติ๊กเกอร์อันเล็ก ๆ มาติดไว้ที่จักรยานของตน
เปรียบเสมือนใบขับขี่ฉบับย่อของเยาวชนตัวน้อย ที่เด็ก ๆ จะภูมิใจมากเชียวล่ะ
โรงเรียนอนุบาลมีนักเรียน 18 คน และมีคุณครู 4 คน เด็ก ๆ
จะมีตู้แขวนเสื้อโค้ทของตัวเอง โดยใช้รูปถ่ายของน้อง ๆ แทนป้ายชื่อ เพราะน้อง ๆ ยังเล็กอยู่และอ่านหนังสือไม่ออก
พร้อมกันนั้น ด้านบนก็จะมีช่องไว้ใส่จดหมายถึงผู้ปกครอง
เวลาที่โรงเรียนมีข่าวที่ต้องการแจ้งให้ทราบ
9:30 am
หลังจากเสร็จภารกิจของเด็ก ๆ
ก็เป็นภารกิจขนกระเป๋าเดินทางจากบ้านนี้ ไปบ้านนาธาน ซึ่งมีระยะห่างประมาณ 1
กิโลเมตร ที่หากให้เดินเท้าก็ไม่มีความยากลำบาก
แต่ที่ทำให้ยากก็คือถนนที่ต้องลากผ่านเป็นแบบพื้นปูด้วยหินเป็นก้อน ๆ
ที่ยากแก่การลากและอาจทำให้กระเป๋าพังได้เร็วขึ้น คุณพ่อคุณแม่ทั้งสอง
เลยพยายามช่วยกันคิด ก็จบลงที่เอารถเข็นลูก ๆ สำหรับสองที่นั่ง มาขนกระเป๋าเราแทน
ซึ่งก็สามารถรับน้ำหนักได้อย่างไม่มีปัญหา J
เมื่อ mission completed แล้ว ก็เป็นภารกิจของแม่บ้าน
เราก็ไปจ่ายตลาดกับภรรยาของคุณ T ซึ่งในทุกวันพุธและวันเสาร์จะมีตลาดสดมาเปิดขายตรง
Rathaus ผักและผลไม้ก็จะสดและคุณภาพดีกว่าในซูเปอร์มาร์เกต
และที่สำคัญคือเชื่อได้ว่ามาจากแหล่งผลิตในท้องถิ่น ไม่ได้มาจากภาคอื่นหรือต่างประเทศ
จากนั้น ก็เข้าไปซื้อของอื่น ๆ เพิ่มเติมต่อใน EDEKA ซึ่งเป็นซูเปอร์มาร์เกตใกล้บ้าน
ที่บูรณะภายในใหม่ซะจนเราจำของเก่าไม่ได้เลย ซึ่งวิธีการซื้อผักและผลไม้ที่นี่ก็คือ
เราก็ไปหยิบถุงใส่ที่เค้าเตรียมไว้ให้มา แล้วดูว่าผักที่เราซื้อหมายเลขอะไร? จากนั้น ก็เอาทั้งหมดไปวางตรงเครื่องชั่งน้ำหนักแล้วกดปุ่มเลือกหมายเลขที่ตรงกับผัก ก็จะได้สติ๊กเกอร์ราคาออกมา
ให้เอาไปแปะบนถุงแล้วก็ตรงไปจ่ายเงินได้เลย
นอกจากนี้ ตรงแผนกผักและผลไม้สด
ยังมีกระดานที่บอกฤดูกาลของผักผลไม้ไว้ด้วย เพื่อให้ลูกค้าได้พิจารณาว่าจะซื้อของที่อยู่นอกฤดูกาลรึเปล่า
ซึ่งหากลูกค้าที่ใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมมาก ๆ ก็จะหลีกเลี่ยงการซื้อของนอกฤดูกาล
เพราะต้องขนส่งมาจากแหล่งอื่น ซึ่งต้องใช้พลังงานมากกว่าปกติ รวมถึงมี carbon
footprint สูงกว่าผักผลไม้ตามฤดูกาลที่หาได้จากท้องถิ่น
11:00 am
เมื่องานหลัก ๆ ที่ต้องทำสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ก็เป็นช่วงเม้าส์มอยตามประสาสาว
ๆ เราก็เดินเล่นไปทั่วเมือง และพูดคุยเรื่องราวต่าง ๆ ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องการเลี้ยงลูกเองสามคน
แบบไม่มีพี่เลี้ยง มีเพียงคุณยาย ที่มาช่วยดูแลเฉพาะตอนกลางวัน
และในบางวันเท่านั้น หลัก ๆ ก็คือสามีต้องมีบทบาทที่เท่า ๆ กับคุณแม่
แค่เพียงให้นมไม่ได้เท่านั้นเอง ^^
ดังนั้น ช่วง 10 เดือนแรก
เป็นช่วงที่คุณแม่แทบจะไม่ได้นอนยาว ๆ เลย เพราะลูก ๆ จะหิวนมทุก ๆ สองชั่วโมง
จนพอเกือบครบปี ก็ต้องมีการฝึกให้ลูก ๆ นอนยาวตลอดคืน และไม่ตื่นมาดื่มนมตอนกลางดึก
โดยการที่เมื่อใดก็ตามที่ลูกร้องตื่นช่วงกลางคืน จะให้คุณพ่อเป็นคนไปอุ้ม แล้วกล่อมให้หลับ
โดยคุณแม่ให้เหตุผลว่า คงเป็นการทรมานเด็ก ๆ เกินไป
หากตัวเองเป็นคนไปอุ้มกล่อมแล้วแต่ไม่ยอมให้นม เพราะเด็ก ๆ จะได้กลิ่นนมจ่อปากอยู่
แต่ดื่มไม่ได้นั่นเอง
เดินมาเรื่อย ๆ จนมาสุดที่แม่น้ำ Illmanau - Landmark แห่งหนึ่งของ
Lüneburg - และยืนเฝ้าดูบ้านที่สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 กำลังถูกสร้างขึ้นใหม่ เนื่องจากไฟไหม้เมื่อปี 2013
ที่มา: http://abload.de/img/historisches-wasservisajlw.jpg |
ที่มา: http://www.landeszeitung.de/wp-content/uploads/2016/03/L%C3%B6secke-Haus.jpg |
เหตุเพลิงไหม้ครั้งนี้เกิดขึ้นตอนกลางดึก ประมาณหลังตีหนึ่ง
คือร้านอาหารปิดแล้ว และผู้พักอาศัยส่วนใหญ่นอนหลับอยู่ ทั้งหมดถูกปลุกให้ตื่นขึ้นเพื่อหนีเอาตัวรอด
โชคดี ที่ไม่มีใครเสียชีวิต แต่เพื่อนนักเรียนคนหนึ่งที่รู้จัก
หนีออกมาพร้อมชุดนอน ที่เรียกได้ว่าเกือบไม่มีอะไรนอกจากเสื้อยืดกับกางเกง boxer
และ laptop เครื่องเดียวเท่านั้น
หลังเหตุการณ์ชวนระทึกนี้
ทางมหาวิทยาลัยก็ตระเตรียมโรงยิมสำหรับเล่นกีฬาในร่มให้เหยื่อจากเหตุเพลิงไหม้มาอาศัยชั่วคราว
รวมทั้งมีการประกาศขอของบริจาคให้พวกเขาอีกด้วย
ที่มา: http://bc02.rp-online.de/polopoly_fs/feuerwehrleute-loeschen-02122013-innenstadt-lueneburg-niedersachsen-1.3858613.1385983341!httpImage/84230341.jpg_gen/derivatives/dx510/84230341.jpg |
ที่มา: http://img.abendblatt.de/img/region/crop122509308/1820931791-w820-cv3_2-q85/Nach-Brand-in-Lueneburger-Hafenviertel.jpg |
เมื่อมองดูบ้านที่กำลังสร้างใหม่ เราก็เปรยขึ้นมาว่า “โชคดีนะ ที่บ้านที่สร้างติดกัน แบบใช้กำแพงร่วมกัน
ที่ขนาบบ้านหลังนี้ ไม่ได้รับผลกระทบจากเพลิงไหม้เลย”
คุณแม่ก็ตอบว่า
“ที่มันไม่ได้ลามไปบ้านข้าง ๆ ก็เพราะว่าตามกฎหมายการก่อสร้างนั้น
ต้องมีการสร้าง “กำแพงกันไฟ” ระหว่างกัน
เพื่อป้องกันเหตุการเพลิงไหม้ในบ้านหลังหนึ่ง แล้วลามไปหลังที่อยู่ติดกัน”
เราไม่แน่ใจว่า บ้านเมืองเรามีกฎหมายทำนองนี้รึเปล่า
เพราะเห็นมีไฟไหม้ตึกแถวทีไร ก็เห็นลามกันไปหมด
ไม่ได้หยุดอยู่ที่ต้นเพลิงเพียงแห่งเดียว
เมื่อเวลาใกล้เที่ยง เราก็ขอตัวจากครอบครัวที่น่ารักนี้
แล้วสัญญาว่าจะมาบอกลาอีกทีก่อนที่เราจะออกเดินทางไปเมืองอื่น
12:15 pm
เดินเท้ามาขึ้นรถเมล์มุ่งหน้าสู่มหาวิทยาลัย
เพื่อพบกับอาจารย์สอนภาษาเยอรมัน ที่เป็นคนช่วยเราจัดการตามเรื่องวีซ่าที่ถูกลืม
ตั้งแต่ปี 2007 อาจารย์มีเวลาไม่มากนัก เพราะต้องไปปฐมนิเทศนักเรียน Erasmus
ที่เพิ่งมาถึงเมืองได้ไม่นาน และต้องสอบวัดระดับ เพื่อปรับพื้นฐานภาษาเยอรมัน
อาจารย์เลยให้เราเข้าไปนั่งฟังด้วย และสวมรอยเป็นหนึ่งในนักเรียน Erasmus ซะเลย
ซึ่งหนังหน้าก็น่าจะยังพอกล้อมแกล้มไปได้อยู่
14:45 pm
บอกลาอาจารย์พร้อมให้ของฝากจากไทย ก็จับรถเมล์ ต่อด้วยรถไฟ
เพื่อไปเจอเพื่อนคนไทย ที่เรียนภาษาเยอรมันจากสถาบันเกอเธ่รุ่นเดียวกัน
แล้วย้ายมาอยู่ Hamburg พร้อม ๆ กัน เวลานัดคือ 4 โมงเย็น
เพื่อนเรายังคงหุ่นดีเหมือนเดิม และเพิ่งสำเร็จปริญญาเอกได้ไม่นาน ตอนนี้ก็กำลังขยับขยาย
เรื่องที่คุยกันก็มีทั้งสาระหนัก ๆ เช่น ผลกระทบของพืช GMO ต่อมนุษย์ อุตสาหกรรมอาหารของบริษัทยักษ์ใหญ่
หรือปัญหาในการจัดการ supply chain จนไปถึงเรื่องสัพเพเหระเบาสมอง ต่อจากนั้น
เธอก็พาเราไปจ่ายตลาดที่ Asian supermarket ที่ใหญ่ที่สุดของ Hamburg และที่เราทึ่งมากคือ
เครื่องรับเงินตรง cashier จ้า มีความ advance แบบสุด ๆ อ่า
คือ ตอนที่ cashier กำลังคิดเงินอยู่
แล้วยังไม่พร้อมให้จ่ายเงิน ก็จะขึ้นไฟสีเขียว แต่พอคิดเงินเสร็จ พร้อมจ่ายตังค์
ก็จะขึ้นเป็นสีฟ้า แล้วให้ลูกค้าสอดธนบัตรหรือเหรียญเข้าไป ตามช่องที่กำหนดไว้ แล้วเครื่องก็จะทอนเงินออกมาเป็นเหรียญอย่างที่เห็น
หรูหราสุด ๆ ซึ่งเราอนุมานเอาเองว่า ที่ต้องใช้เครื่องแบบนี้
อาจเป็นเพราะมีกรณีใช้เงินปลอมมาจ่ายเงิน รวมทั้งตัดปัญหาพนักงาน
แอบอมเงินด้วยล่ะมั้ง อันนี้ใครมีความรู้ ก็แชร์ได้เลยนะคะ
6:10 pm
ประมาณ 6 โมงเย็น ก็บอกลากัน
ก่อนที่เราจะต้องนั่งรถไฟไปหาเพื่อนร่วมหอพักตอนเรียน ในอีกย่านหนึ่งของกรุง
Hamburg เธอเชิญเรามาทำอาหารกินกันที่อพาร์ทเมนต์ของเธอที่อาศัยอยู่กับคุณแฟน ซึ่งเพื่อนคนนี้
เค้าเป็นแนวมังสวิรัติ แต่ไม่ถึงกับ vegan อาหารวันนี้จึงเน้นผักผลไม้แบบปลอดสารพิษ
ทานคู่กับชีสที่ทำจากนมแพะ ตบท้ายด้วยของหวานที่ทำเอง เป็น frozen yogurt
ที่ทั้งสองคนดูไม่ค่อยจะพอใจเท่าไหร่ ด้วยเหตุผลว่า คราวที่แล้วที่ลองทำกันเอง
รูปลักษณ์และรสชาติมันดีกว่านี้ ส่วนเราที่เป็นแขกรับเชิญ ก็รู้สึกว่าอร่อยดีนิ
ไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลย เรื่องที่คุยกันสำหรับเพื่อนฝูงที่อายุใกล้เลขสาม หรือปริ่ม
ๆ เลขสามมาหน่อย ก็คงหนีไม่พ้นเรื่อง baby boom เพื่อนสาวของเราเธอก็บอกว่า
ตอนนี้เพื่อน ๆ ของพวกเรามีใครบ้างที่เพิ่งได้ baby มา หรือไม่ก็กำลังจะแต่งงาน แล้วเธอก็ตัดพ้อว่า
เธอเริ่มตามคนอื่นไม่ทันแล้ว ที่เรารู้สึกว่าความสัมพันธ์ที่นี่
แตกต่างจากที่ไทยก็คือ คนที่จะคบกันเป็นแฟน
ไม่ได้เริ่มพัฒนามาจากการเป็นเพื่อนกันก่อน แล้วค่อยรู้สึกรักมากกว่าเพื่อนทีหลัง
ทั้งสองคนบอกว่า เท่าที่เคยเป็นมาและรู้มาจากคนอื่น ๆ คือ เมื่อเจอคนนี้
แล้วรู้สึกสนใจที่จะเป็นมากกว่าเพื่อนตั้งแต่แรก
ก็จะทำความรู้จักกันในแง่นั้นตั้งแต่ต้น ซึ่งเราก็ถามว่าแล้วคนที่เป็นเพื่อนกันมาก่อนหลาย
ๆ ปี แล้วค่อยมาเป็นแฟนกัน นี่เป็นไปได้มั้ย? เค้าก็ตอบมาว่า ไม่ค่อยมีนะ
ส่วนใหญ่ถ้าเริ่มจากการเป็นเพื่อน (ที่เป็นเพื่อนจริง ๆ ไม่ใช่แอบรักเค้าแล้ว
แต่เนียนเป็นเพื่อนก่อน เพื่อเข้าใกล้) แล้วคบกันเป็นเพื่อนมาเป็นปี ๆ
ก็จะพัฒนาเป็นแฟนได้ยาก เพราะเค้าก็บอกว่า เพื่อนก็คือเพื่อนอ่ะนะ
เคมีมันไม่ใช่คนเป็นแฟนอ่ะ
เรื่องต่อมาที่เราอยากรู้ความคิดเห็นของทั้งสอง
ก็คือเรื่องผู้ลี้ภัยและเรื่องการสวม niqab ของหญิงมุสลิม เราประทับใจมาก
เมื่อเพื่อนเราตอบมาทันที หลังจากได้ยินคำถามของเราว่า
“Deutschland ist reich und groß”
คือ เธอบอกว่า “ประเทศเยอรมนีเป็นประเทศที่ร่ำรวยและใหญ่โต”
เธอขยายความต่อว่า
“ในฐานะที่ประเทศของเค้ามีศักยภาพเพียงพอ
ก็ควรที่จะยื่นมือมาช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เธอยังบอกอีกว่า
เยอรมนียังช่วยผู้คนเหล่านี้ได้อีกมาก ดูอย่างสวีเดนสิ ประเทศนั้นเล็กกว่าเราตั้งเยอะ
เค้ายังรับผู้ลี้ภัยต่อจำนวนประชากรเยอะกว่าเราอีก”
เมื่อเราลองมาค้นหาสถิติการรับผู้ลี้ภัยจากแหล่งต่าง ๆ ดู
ก็ประมวลภาพได้ ดังนี้
ที่มา: http://www.bbc.co.uk/news/world-europe-34131911
|
ส่วนเรื่องการสวม niqab แล้วทำให้เด็ก ๆ เล็ก ๆ
กลัวหรือไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเธอแต่งกายแบบนั้น เธอมองว่า มันเป็น หน้าที่ของพ่อแม่ เด็กเหล่านั้น
ที่ต้องอธิบายให้ลูก ๆ ของตนเองเข้าใจว่าในโลกเรานี้ มีวัฒนธรรมที่หลากหลาย
คนเราสามารถอยู่ร่วมกันได้ทั้ง ๆ ที่มีความแตกต่างกันทั้งในด้านเชื้อชาติ ภาษา
และศาสนา ไม่ใช่กงการอะไรของรัฐที่จะไปบังคับให้สตรีชาวมุสลิมมาปรับเปลี่ยนการแต่งการให้เหมือนกับชาวยุโรป
9:20 pm
กำลังคุยสนุก ๆ
แต่เวลาหมดซะก่อนเพราะเราต้องรีบขึ้นรถไฟกลับ Lüneburg ดังนั้น เลยบอกลาทั้งสอง
แล้วขึ้นรถไฟกลับบ้าน เพื่อมาดื่มชารอบดึกก่อนนอนกับนาธาน ที่ก็ยังพอมีแรงคุยกับเราต่อ
ซึ่งเขาก็มีแนวคิดที่ใกล้เคียงกัน เขามองว่า การที่มีผู้ลี้ภัยเข้ามาอยู่ที่เมือง
Lüneburg และ Hamburg ไม่ได้ทำให้เขาต้องระวังตัวอะไรมากกว่าปกติ
แต่มองว่าการปรับตัวของพวกเขาต่อวัฒนธรรมที่เปิดกว้างของที่นี่
ค่อนข้างมีผลกระทบต่อตัวพวกเขา นาธานเล่าให้ฟังว่า เมื่อสัก 2-3 เดือนก่อน
มีกรณีที่ว่า ผู้ลี้ภัยไปจับหน้าอก จับสะโพกของสาว ๆ เยอรมันที่มาเที่ยวผับในเมือง
เหตุเพราะเห็นว่าสาว ๆ ไม่แต่งตัวมิดชิด -_-
ส่วนเรื่องการสวม hijab หรือ niqab นั้น นาธานมองว่า
จากสถานการณ์ในปัจจุบัน หากสาว ๆ เหล่านี้ต้องไปในสถานที่ราชการ สนามกีฬา หรือคอนเสิร์ตต่าง
ๆ ก็คงต้องยอมเปิดใบหน้าให้เจ้าหน้าที่ตรวจ เพื่อความสบายใจของคนส่วนมาก
หรือไม่ก็ต้องหลีกเลี่ยงการไปอยู่ตามสถานที่แบบนั้นซะ
สิ่งที่ภูมิใจมากสำหรับวันนี้
นอกเหนือจากการบริหารจัดการเวลาต่าง ๆ ได้ลงตัว
จนสามารถพบทุกคนที่อยากพบได้ทั้งหมดแล้วนั้น เพื่อน ๆ ชาวเยอรมัน
รวมทั้งคุณครูสอนภาษาเยอรมันของเราเอง ชมว่า
“ภาษาเยอรมันเธอยังดีเหมือนเดิมเลยนะ ทั้ง ๆ
ที่ไม่ได้มีโอกาสใช้ภาษาเลย ตอนที่อยู่ไทยตั้ง 2 ปีกว่าแล้ว เธอทำยังไงอ่ะ?”
อิอิ ภูมิใจยิ้มแก้มปริเลยล่ะ ^___^ จริง ๆ
แล้วสิ่งที่คอยผลักดันก็คือ “ความกลัว”
ว่าจะลืมภาษาเยอรมันที่อุตส่าห์อดทนเรียนมาอย่างยากลำบาก ดังนั้น
สิ่งที่เราทำตลอดเวลาที่อยู่ที่ไทยก็คือ
อ่าน
เราจะถือหนังสือภาษาเยอรมันเล่มนึงติดตัวเสมอเวลาที่ต้องเดินทาง
โดยเฉพาะเวลาที่เดินทางไปทำงานโดย BTS ก็จะพยายามอ่านสัก 3-5 หน้าทุกวัน เพื่อไม่ให้ลืมไวยากรณ์และภาษาที่ใช้เวลาเขียน
เขียน
เวลาเล่น facebook กับเพื่อนที่พูดเยอรมันได้
ก็จะใช้ภาษาเยอรมันตลอด
ฟัง
คอยหาเวลาดูหนังเป็นภาษาเยอรมัน หูจะได้ไม่ลืม
สำเนียงและโทนการพูด ซึ่ง DVD หรือ youtube มีอยู่เยอะแยะให้เลือกตามใจชอบเลยล่ะ
พูด
อันนี้ก็ต้องใช้การโทรไปคุยกับเพื่อนที่เยอรมันเป็นระยะ
ๆ เลยล่ะ เพื่อไม่ให้ลืมวิธีการออกเสียง หรือในหลาย ๆ ครั้ง
เวลาขึ้นรถไฟฟ้าสายไปสะพานตากสิน ตรงหัวขบวนก็จะเจอกลุ่มนักท่องเที่ยวหลากหลาย
และบ่อยครั้งเป็นนักท่องเที่ยวเยอรมัน ที่กำลังหลงทางหรืองง ๆ กับภาษาไทย เราก็จะอาสาเข้าไปช่วย
ซึ่งก็จะได้รับคำขอบคุณ และเปิดการสนทนาว่าทำไมเราพูดภาษาเยอรมันได้ ^^
วิธีการก็มีประมาณนี้ล่ะค่ะ
ไม่ได้ยากเกินความสามารถเลยใช่มั้ยคะ?
เนื่องจากตอนที่กำลังพิมพ์ blog อยู่นี้ มาอาศัย wifi free ของ
Starbucks สาขา Altmarkt เมือง Dresden พร้อม ๆ กับสายฝนที่โปรยปราย ก็ขอฝากเพลงนี้ไว้ส่งท้ายนะคะ
Kommentare
Kommentar veröffentlichen