25 days of pilgrimage – Day 4 Lüneburg
Dienstag 6. September
ร่างกายคงชินกับการตื่นเช้าไปทำงานทุกวัน ดังนั้น
วันนี้เราก็ตื่นมาตอน 7 โมงนิด ๆ ก่อนเวลาที่ตั้งปลุกไว้คือ 8 โมงเช้า แต่งเนื้อแต่งตัวเสร็จ
ก็ลงมาเจอคุณ T ที่ห้องทานอาหาร ซึ่งกำลังทำงานอย่างขมักเขม้น
ขอเล่าประวัติของคุณ T นิดนึง
เรารู้จักเขาตั้งแต่ตอนที่เราอายุ 19 ปี
และยังเรียนอยู่คณะบัญชี จุฬา ฯ แล้วเราก็ติดต่อเรื่องเรียนและการทำงานกับเขาตลอดมา
จนตอนนี้ก็ถือได้ว่ารู้จักกันกว่า 10 ปีแล้ว คุณ T เป็นวิศวกรที่ทำงานด้าน
sustainability มาโดยตลอด เมื่อ 3 ปีที่ผ่านมาก็ได้ตำแหน่ง Professor เพิ่มจาก PhD
อีกด้วย
คำถามแรกของวันหลังจาก Guten Morgen คือ
“หิวมั้ย จะทานอะไรเป็นอาหารเช้าดีล่ะ?”
แล้วเล่าให้ฟังต่อว่า
“เมื่อเช้าเด็ก ๆ ถามหาว่าฝ้ายไปไหน? ทำไมไม่มาทานอาหารเช้าด้วยกัน?”
พอคุณ T บอกว่าฝ้ายยังนอนอยู่ เพราะเหนื่อยจากการเดินทาง
น้อง F ก็บอกว่า
“หนูอยากนอนต่อมั่ง” :P
แต่ก็ไม่งอแงนะ แล้วก็ออกไปโรงเรียนโดยดี
เราไม่อยากกวนเวลาทำงานของเขา เนื่องจากสัปดาห์นี้ เขาขอ
work from home ก็เลยขอตัวออกมาหาอะไรกินข้างนอกเองดีกว่า
อากาศดีมาก แดดส่อง พร้อมลมเย็น ๆ เลยมองหาร้านที่สามารถนั่งอาบแดดพร้อมทานอาหารเช้าริมแม่น้ำ
Illmanau ได้ หวยเลยมาออกที่ ร้าน Mama Rosa ที่มีระเบียงนั่งรับแดดยามเช้านั่นเอง
ทานเสร็จแล้วก็ถึงเวลาเดินย่อยอาหาร
เนื่องจากยังมีเวลาเหลือเฟือจนกว่าจะถึงเวลานัดเพื่อนชาวบราซิลแต่เป็นลูกครึ่งอิตาเลียนตอนบ่ายสาม
เราก็เลยเริ่มเดินเล่นจากในเมือง
ผ่านสวนสาธารณะ
และเข้าไปเยี่ยมมหาวิทยาลัย
ไปเดินดูชั้นวางเครื่องดื่ม ที่มีตราว่า Nachhaltiges Produkt
หรือ sustainable product ติดอยู่ สมกับเป็นมหาวิทยาลัยที่เด่นด้าน sustainability
จริง ๆ
ซึ่งทางที่เดินผ่านนั้น
ก็จะผ่านบ้านที่เราเคยอยู่ที่นี่ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งแทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย
บ้านหลังแรกสุด |
บ้านหลังที่สอง ที่อยู่นานที่สุด คือ Campus 2 |
บ้านหลังสุดท้ายก่อนย้ายไป Hamburg นี่ อยู่ใจกลางเมืองเลยล่ะ |
ห้องที่เราอยู่นานสุดนั้น
เป็นหอนักเรียนที่ตั้งอยู่ในมหาวิทยาลัย
ซึ่งโดยทั่วไปแล้วประตูใหญ่ของตึกควรจะปิดไว้ แต่วันนี้มันเปิดอยู่
เราเลยขอเดินขึ้นไปดูห้องพักเก่าซะหน่อย ว่ามีอะไรเปลี่ยนไปบ้างมั้ย?
แต่สุดท้าย ก็หยุดอยู่ที่หน้าประตู ไม่กล้ากดกริ่ง
เพราะไม่แน่ใจว่ามีคนอยู่รึเปล่า? แล้วจะบอกว่ามาทำอะไรดี?
ใกล้บ่ายสาม ก็ออกเดินเท้า - สรุปได้ว่า
วันนี้เดินเท้าไปร่วม ๆ 4 กิโลเมตรแล้ว ^o^ - ไปหาเบนยามินที่บ้าน
ที่เขาพักกับแฟนชาวเยอรมัน ที่คบกันมาเข้าปีที่ 7 แล้ว ทั้งคู่มีช่วงที่เป็นรักทางไกลระหว่างบราซิลกับเยอรมนีอยู่ระยะหนึ่งด้วย
เราก็เลยถามเคล็ดลับว่า
“ทำไมถึงอยู่กันได้นาน? และอะไรที่ทำให้ยังรักกันได้ทั้ง ๆ
ที่ไม่ได้เจอกันบ่อย ๆ ในช่วง 2-3 ปีแรก”
“คงเป็นการหาจุดสมดุล หรือประนีประนอมระหว่างกันนั่นล่ะ” เบนยามินตอบกลับมา
หลังจากคิดอยู่ระยะหนึ่ง พร้อมมีการหาใบไม้แถวนั้น มาทำเป็นกราฟเส้นจำนวนสองเส้น
“เนี่ยะ เห็นมั้ย ช่วงแรก ๆ กราฟมันก็ห่างกันระดับนี้
พอปรับเข้าหากัน ระยะห่างมันก็แคบลง แล้วก็ต้องค่อย ๆ ปรับไปเรื่อย ๆ น่ะล่ะ”
แฟนของเบนยามินเป็นคุณครูสอนอยู่ที่โรงเรียนใกล้ ๆ เธอรีบออกจากโรงเรียนเร็วเป็นกรณีพิเศษ
เพื่อมาเจอเราตอน 4 โมงเย็น ก็เลยได้คุยกันหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่อง “ผู้ลี้ภัย” ที่เรียกว่า
Flüchtlinge หรือ refugees ในภาษาอังกฤษ ที่เราสนใจอยากได้ความคิดเห็นของเพื่อน ๆ
ที่เป็นเจ้าของประเทศ เธอเล่าให้ฟังว่า
ที่โรงเรียนก็รับเด็กที่ลี้ภัยเข้ามาเรียนเป็นจำนวนหนึ่ง
ซึ่งเด็กเหล่านี้จะถูกส่งไปเรียนภาษาเยอรมันเพื่อที่จะสามารถปรับตัวเข้ากับสังคมเยอรมันได้
ซึ่งส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยมีปัญหาอะไรมาก และเด็กเล็กจะมีปัญหาน้อยกว่าเด็กวัยรุ่น
ตอนนี้ที่โรงเรียนกำลังปวดหัวกับเด็กคนหนึ่ง อายุประมาณ 15
ปี ที่บอกว่า “ประมาณ” เพราะทางโรงเรียนก็ไม่แน่ใจว่าน้องเค้าอายุเท่าไหร่กันแน่ เด็กส่วนใหญ่ไม่มีเอกสารอะไรติดตัวมาเลย
ทำให้ต้องประมาณเอาจากหลักฐานแวดล้อม โรงเรียนเชื่อว่าน้องมีอาการ psychological trauma
ที่เกิดจากภาวะสงคราม และควรจะต้องส่งเข้าบำบัดทางจิต ซึ่งกว่าที่จะส่งไปบำบัดรักษาได้นั้น
ต้องมีหลักฐานเพียงพอว่าน้องป่วยทางจิตจริง ๆ ไม่ใช่แค่เกเรตามประสาเด็กวัยรุ่นที่ฮอร์โมนพลุ่งพล่าน
เธอเสริมว่าสิ่งที่น้องคนนี้ทำมา 2 ครั้ง
ครั้งแรก น้องเอาอุจจาระมาป้ายไปทั่วห้องน้ำในโรงเรียน
ครั้งที่สอง น้องช่วยตัวเอง
แล้วเอาน้ำอสุจิมาป้ายหน้าเพื่อน -_-
บ่งชี้ว่าน้องต้องการการดูแลเอาใจใส่ที่มากกว่าปกติ แต่จะเป็นผู้ป่วยจิตเวชหรือไม่นั้น ต้องรอผู้เชี่ยวชาญมาทำการวิเคราะห์อย่างละเอียดอีกที
บ่งชี้ว่าน้องต้องการการดูแลเอาใจใส่ที่มากกว่าปกติ แต่จะเป็นผู้ป่วยจิตเวชหรือไม่นั้น ต้องรอผู้เชี่ยวชาญมาทำการวิเคราะห์อย่างละเอียดอีกที
เรื่องที่คุยกันถัดมาคือเรื่องการสวม “ฮิญาบ”
ก่อนอื่น ผ้าคลุมหน้าหรือคลุมผมของหญิงสาวชาวมุสลิม
พอแบ่งได้ 3 ประเภท ดังนี้
hijab คือ ผ้าคลุมศีรษะจนมาถึงช่วงไหล่
niqab คือ
ผ้าคลุมหน้าที่จะเปิดให้เห็นเพียงช่วงดวงตาเท่านั้น
ส่วนใหญ่จะใส่กับชุดคลุมที่เป็นสีดำ
burka คือ ลักษณะจะเหมือนชุดคลุมตั้งแต่ศีรษะลงมา
แม้แต่ช่วงตาก็ยังมีตาข่ายมาบังไว้ จะเห็นสตรีใส่ burka ในประเทศอัฟกานิสถาน
ที่มา: http://cloudmind.info/hijab-niqab-and-burka-faq/ |
เธอเล่าว่าโดยทั่วไป หากเป็นสถานการณ์ปกติ
ก็ไม่มีใครมีปัญหาจากการสวมผ้าคลุมผม แต่จากสถานการณ์ปัจจุบัน เริ่มมีการพูดคุยกันว่า
การสวม niqab เป็นสิ่งที่ไม่น่าพึงประสงค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่เธอเป็นคุณครู
แล้วไม่สามารถเห็นภาษากายที่แสดงออกทางสีหน้าของนักเรียนได้นั้น ยากต่อการทำความเข้าใจนักเรียน
ที่มองเห็นได้เพียงแต่ดวงตา ซึ่งก็รวมไปถึงการออกเสียงระหว่างคาบเรียนอีกด้วย นอกจากนี้
การสวม niqab หรือ burka นั้น ไม่ต่างอะไรกับการใส่หมวกกันน๊อค ซึ่งไม่สามารถเดินเข้าธนาคารหรือสถานที่ราชการบางแห่งได้
ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย ที่บังคับให้ทุกคนต้องถอดหมวกหรือแว่นดำออก เพื่อแสดงให้เห็นใบหน้าอย่างชัดเจน
เราก็เห็นด้วยว่าในบางสถานที่นั้น ความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญ
แต่การจะบังคับหรือห้ามไม่ให้ใครใส่ผ้าคลุมผม หรือแต่งกายตามประเพณีนิยม มันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน
ซึ่งไม่ควรทำได้ หรือ หากจะทำ ก็ต้องมีการหาจุดประนีประนอมที่เหมาะสม
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของศาสนา วัฒนธรรม
และสังคมที่หล่อหลอมพวกเขามาด้วย เช่น ที่โรงเรียนมีพี่น้อง 4 คนที่ลี้ภัยมาและถูกส่งมาให้เข้าโรงเรียน
เด็กผู้ชาย 2 และเด็กผู้หญิง 2 ตามกฎหมายของเยอรมัน เด็กทุกคนต้องไปโรงเรียน
ซึ่งเด็กผู้ชายไม่เข้าใจและรับไม่ได้ ว่าทำไมเด็กผู้หญิงต้องไปโรงเรียน?
พวกเขาไม่อยากให้เด็กผู้ชายคนอื่น ๆ มามองน้องสาวของตน ซึ่งเรื่องเหล่านี้
มันยากมากที่จะอธิบายให้เด็ก ๆ เข้าใจโดยปราศจากพ่อแม่ของพวกเขา
คุณครูเธอบอกเลยว่า บางครั้งเครียดมาก
เพราะเป็นปัญหาที่เธอไม่เคยเจอมาก่อน
หลังจากถกเถียงกันเรื่องหนัก ๆ ก็ถึงเวลาออกเดินเท้า (อีกแล้ว)
เนื่องจากอากาศดีมาก คุณครูอยากไปว่ายน้ำเล่นที่ทะเลสาบในเมือง เรากับเบนยามินก็ไปนั่งเล่นและคุยกันต่อริมทะเลสาบ
ที่มา: http://www.mathias-brodt.de/de/weblog/2009/05/16/aussicht-lueneburg-kreideberg/ |
ก่อนที่เราจะบอกลาทั้งสองคน
เพื่อกลับมาใช้ช่วงเวลายามเย็นกับเด็ก ๆ แล้วก็ส่งน้อง ๆ เข้านอนเป็นลำดับสุดท้าย
เนื่องจากวันพรุ่งนี้ เราจะย้ายไปค้างบ้านนาธาน
เพื่อนร่วมหอคนเก่า ก็เลยนัดเจอกันตอนเย็นหลังจากที่เขากลับมาจากทำงานที่ Hamburg เพื่อเอากุญแจเข้าบ้าน
เป็นครั้งแรกที่ได้เจอกันหลังจากครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2014 ไปดื่มและคุยอะไรกันนิดหน่อยก่อนที่เราจะกลับมานอนตอนสี่ทุ่มครึ่ง
เพื่อเตรียมตัวส่งน้อง ๆ ไปโรงเรียนในเช้าตรู่วันรุ่งขึ้น
ลากันไปด้วยเพลงนี้นะคะ พอดีฝ้ายได้ยินร้านของเพื่อนเปิดเพลงนี้ แบบเป็น remix ก็เลยคิดถึงต้นฉบับที่เราเคยได้ยินมาค่ะ :)
ลากันไปด้วยเพลงนี้นะคะ พอดีฝ้ายได้ยินร้านของเพื่อนเปิดเพลงนี้ แบบเป็น remix ก็เลยคิดถึงต้นฉบับที่เราเคยได้ยินมาค่ะ :)
Kommentare
Kommentar veröffentlichen