สัมผัสห้องฉุกเฉินของเมืองเบียร์
เหตุการณ์นี้เกิดต่อเนื่องจากการสัมภาษณ์งานครั้งสุดท้าย
ฝ้ายกลับมาถึงบ้านที่ Hamburg ในวันที่ 12/10/12 ตอนนั้นกำลังอยู่ในช่วงดีใจ
มีความสุขสุด ๆ เพราะจะได้เริ่มชีวิตใหม่ ที่เมืองใหม่ ได้ทำงานที่เราฝันอยากจะทำ
อุตส่าห์ดั้นด้นข้ามน้ำข้ามทะเลมา เพื่อมาเรียนด้านนี้โดยเฉพาะ ช่วงนั้นก็รีบจัดการเรื่องการขอ
work permit (Arbeitsgenehmigung) และก็เตรียมมองหาบ้านใหม่ใน Stuttgart
แต่ในวันนั้น ชีวิตที่ดูกำลังเริ่มเข้าที่เข้าทาง ก็เหมือนถูกกระชากลงมาจากหอคอยงาช้าง
(ที่เพิ่งจะได้ขึ้นไปอยู่ไม่ถึง 1 สัปดาห์) เป็นเรื่องดราม่าที่สุดตั้งแต่ใช้ชีวิตที่นี่
วันอาทิตย์ที่ 21 ตุลาคม 2012 เป็นเช้าวันที่เราค่อนข้างใช้เวลาอย่างขี้เกียจ
ตื่นมาแล้วก็นั่งเล่น internet ไปเรื่อย ๆ พอสาย ๆ ก็ไปนั่งสมาธิตามปกติ
(เราเดินจงกรม นั่งสมาธิ และฝึกภาวนาเป็นประจำ ตั้งแต่อายุ 20) แต่วันนั้นสิ่งที่ไม่ปกติก็คือ
เราเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ก็เลยไม่อยากนั่งสมาธิบนพื้น เปลี่ยนไปนั่งบนเตียงแทน ทีนี้
เตียงของบ้านพักที่ Hamburg นั้น ค่อนข้างสูงจากพื้นมากกว่าปกติ
เพราะเจ้าของบ้านเช่า สั่งทำเฟอร์ ฯ build-in ทั้งห้องให้ลูกชายของเค้าที่ตัวใหญ่
แต่ตอนนี้เค้าไปเรียนแลกเปลี่ยนที่ประเทศอื่น สูงขนาดที่ว่า เวลาเรานั่งที่ขอบเตียง
ขาเราจะลอยจากพื้นค่อนข้างเยอะ (ส่วนนึงอาจเป็นเพราะเราเตี้ยเอง)
หลังจากนั่งสมาธิประมาณ 1 ชั่วโมง
เราก็ขยับตัวเพื่อจะลงจากเตียงและมาทำอะไรกิน ก็พอจะรู้สึกว่าขาเป็นเหน็บอยู่
แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจ เพราะเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว เราก็ก้าวขาขวาลงบนพื้น
แล้วก็ตามด้วยเท้าซ้าย ซึ่งตอนเอาเท้าลงพื้นและทิ้งน้ำหนักตัวนั้น
ตำแหน่งของเท้าซ้ายจะเหมือนกับตอนเต้นบัลเล่ต์ (ดูรูปประกอบ) จังหวะที่ทิ้งน้ำหนักเต็มที่
เราก็ได้ยินเสียงดังกร๊อบ ซึ่งก็ตกใจ เลยรีบทรุดตัวนั่ง แล้วลองขยับข้อเท้าดู
ก็เห็นว่าไม่มีปัญหายังหมุนได้ปกติ ก็นวด ๆ เท้าต่ออีกสักพัก ก็ลุกขึ้น คิดว่าคงแค่เอ็นพลิก
ก็เดินได้ปกติและไปยืนผัดอะไรกิน ทุกอย่างก็ยังโอเค
จากนั้น ก็ไปนั่งที่โต๊ะและเริ่มทานอาหาร
หลังจากเอาข้าวเข้าปากไปได้ไม่กี่คำ อยู่ ๆ ก็รู้สึกถึงความเจ็บ เจ็บแบบเจ็บจี๊ดน่ะค่ะ
ไม่ใช่แนวเจ็บปวด และรู้สึกได้ว่าความเจ็บนี้ ภายในเวลาไม่กี่วินาที วิ่งจากเท้าซ้ายไล่ขึ้นมาตามตัว
ตรงขึ้นถึงสมอง แล้วทุกอย่างก็ดับวูบ
รู้สึกตัวอีกที (ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน) ก็เจอตัวเองนอนอยู่บนพื้นกระเบื้องที่เย็นเจี๊ยบ
คาดว่าที่สะดุ้งตื่นเพราะเหตุนี้ (ช่วงตุลาปีนั้น ค่อนข้างหนาว และหิมะเยอะด้วยช่วงปลายปี)
ตื่นมาก็ยังงง ๆ ว่าเรามาทำอะไรอยู่บนพื้น ไล่สายตามองไปรอบ ๆ ก็เห็นว่าแว่นตาตกอยู่ตรงข้าง
ๆ (ดีที่ไม่แตก) และช้อนกินข้าวก็วางอยู่ไม่ไกลบนพื้น พร้อมข้าวจำนวนหนึ่งกระจายอยู่ใกล้
ๆ
จากนั้น ก็ลำดับเหตุการณ์ได้ว่า เราหมดสติไป
เพราะเจ็บที่เท้ามาก พอก้มไปดูเท้า ก็ไม่เห็นจะมีร่องรอยอะไรภายนอก
แต่ก็ไม่กล้าเดินลงน้ำหนัก เลยค่อย ๆ คลานไปหยิบโทรศัพท์แล้วโทรไปบ้านคุณป้า
เพราะครอบครัวนี้คุณพ่อและลูกสาวทั้งสองคนเป็นคุณหมอ ส่วนคุณแม่เป็นพยาบาล
ฝ้ายก็โทรไปเล่าให้ฟัง เพราะไม่แน่ใจว่าควรจะทำยังไง ต้องไปหาหมอมั้ย? สรุปก็คือจะรอดูอาการวันนึงที่บ้าน
แล้วค่อยไปหาหมอ หรือจะไปเลยก็ได้ แต่สิ่งที่ต้องทำตอนนี้ คือหาอะไรมาเย็น ๆ
มาประคบ --- คืออากาศที่นี่ก็เย็นอยู่แล้ว ดังนั้น
การมีน้ำแข็งเตรียมไว้ในช่องแข็งนี่ เป็นเรื่องที่เราไม่เคยคิดจะทำและไม่เคยทำด้วย
สิ่งเดียวที่พอจะใช้ทดแทนได้คือปลาแซลมอนแช่แข็ง --- ก็นะ
ตอบโจทย์เหมือนกันนิ อะไรก็ได้ที่เย็น ๆ
จากนั้น ก็โทรหาเพื่อน ๆ ที่อยู่แถวนี้ เริ่มด้วย
- ex-flatmate ทีนี่ --- ไม่มีคนรับ
- พี่สาวของทีนี่ เวเรน่า มาเรีย แฟนของเธอเป็นคุณหมอชื่อแกวิน --- ไม่มีคนรับ
- โทรหาแฟนทีนี่ โดมินิค --- ไม่มีคนรับ
คือเพื่อนคนเยอรมันที่เราสนิทค่อนข้างเป็นกลุ่มคนที่มีโลกส่วนตัวสูง
และค่อนไปทาง anti-social network มาก ๆ ช่วงสุดสัปดาห์นี่
มือถือไม่รับถ้าไม่ใช่คนในครอบครัวโทรมา
รอบแรกไม่สำเร็จ เราก็เริ่มใหม่รอบสอง ก็ไม่สำเร็จอีก ทีนี้
ก็เริ่มร้องไห้ เพราะไม่รู้จะทำยังไง ประมาณ 30 นาทีให้หลัง โดมินิคโทรกลับมา
เราก็รีบรับแล้วร้องไห้โฮเลย กว่าจะตั้งสติเล่าเรื่องให้เป็นภาษาก็ใช้เวลาอยู่ระยะนึง
โดมินิคบอกว่าตอนนี้ทั้งทีนี่และเวเรน่า มาเรีย ไม่ได้อยู่
Hamburg เพราะออกมาเยี่ยมญาติ ส่วนโดมินิคอยู่ Hannover เพราะต้องมาดูแลน้องแฝดสามที่ยังเล็กอยู่แทนพ่อแม่ที่ออกไปเที่ยว
แต่เค้าจะประสานงานให้
จากนั้น ทีนี่ก็โทรมา แล้วสรุปให้ฟังว่า
อีกครึ่งชั่วโมงจะมี taxi มารับที่บ้าน ให้เรารอเปิดประตู
และเค้าจะขับไปส่งที่โรงพยาบาลใกล้ ๆ บ้าน ที่ตอนนี้แกวินเข้าเวรอยู่พอดี
เราก็ขอบคุณทีนี่ แล้วก็คว้ากระเป๋าเตรียมตัวไปโรงพยาบาล
พอได้ยินเสียงกริ่ง เราก็คลานดุ๊บ ๆ ไปเปิดประตู แล้วก็เก้
ๆ กัง ๆ ว่าจะยันตัวยืนยังไงดี คุณคนขับก็ยื่นกุญแจขับรถมา บอกว่าให้เราถือไว้นะ
แล้วเค้าก็อุ้มเราไปขึ้นรถ ตอนที่นั่งรถไป มองวิวข้างทางที่ใบไม้กำลังเปลี่ยนสี
ก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง แต่พอตาเหลือบไปเห็นเงาสะท้อนในกระจกข้าง
น้ำตาก็เล็ดอีกครั้ง เพราะภาพที่เห็นคือช่วงหัวคิ้วด้านขวามีคราบเลือด
เราลืมไปเลยว่าเราล้มหัวกระแทกพื้น คนขับก็ถามว่าเกิดอะไรขึ้น เราก็เล่าคร่าว ๆ
ให้เค้าฟัง แล้วเค้าก็บอกว่า กรณีแบบนี้ วันหลังให้โทรเรียกรถพยาบาลฉุกเฉินได้เลยนะ
กด 112 เพราะถือว่าเราช่วยตัวเองไม่ได้ (ตอนแรกเราก็คิดจะเรียกรถพยาบาลเหมือนกัน แต่รู้สึกกระดาก เพราะไม่ได้เป็นอะไรที่เสี่ยงต่อชีวิตขนาดนั้น) จะได้ไม่ต้องเสียเงินค่า taxi
ซึ่งพอถึงแผนกฉุกเฉินก็มีเจ้าหน้าที่ พร้อมรถเข็นมารับ แล้วก็ขอบคุณพร้อมบอกลาคนขับใจดี
จากนั้น
ก็เข้ามานอนในห้องที่มีพยาบาลสองคนเข้ามาดูแผลที่หน้าผาก แล้วก็ถามประวัติเบื้องต้น
เรื่องการฉีดวัคซีน ซึ่งคำศัพท์เยอรมันกลุ่มนี้นี่ ไม่เคยผ่านเข้ามาในหัวเลย
ก็เลยงง ๆ และตอบไปว่าไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร จากนั้น ก็รอเข้าห้อง x-ray
ระหว่างที่เค้าเข็นรถจากห้องที่เรานอนรออยู่ไปห้อง x-ray
ก็เห็นแต่คุณย่าคุณยายที่อยู่แถวนั้น พร้อมกับลูกหลานที่มาดูแลข้าง ๆ
เราก็เริ่มใจแป้ว เพราะเราไม่มีใครมาดูเลย เริ่มคิดถึงพ่อแม่
เริ่มคิดว่ามันเกิดเรื่องแบบนี้ได้ยังไง? ทำไมเราต้องเผชิญสถานการณ์นี้แบบไร้ญาติขาดมิตร?
หลังจาก x-ray เสร็จก็กลับมาที่เดิม
เพื่อรอคุณหมอมาวินิจฉัย รออยู่นานเลยล่ะ กว่าแพทย์เวรหนุ่มน้อยจะเข้ามา
ซึ่งไม่ได้มาคนเดียว แต่แกวินมาด้วย พอเห็นหน้าแกวินเท่านั้นล่ะ
เราก็ปล่อยโฮอีกรอบ เค้าก็เข้ามากอดแล้วถามว่า “ฝ้ายไปทำอะไรมาเนี่ย? เกิดอะไรขึ้น?”
น้ำเสียงอบอุ่นนุ่มมากตามสไตล์คุณหมอใจเย็น จากนั้น แพทย์เวร ก็สรุปว่า
กระดูกเท้าเราหัก (ฮี พูดว่า congratulation ก่อนด้วยนะ โหดร้ายมาก) และต้องเข้าเฝือกอย่างน้อย
4-6 สัปดาห์ แต่...มีข่าวดีนะ (เพราะนี่สินะ ถึงได้แสดงความยินดีตอนแรก) กระดูกที่หักนั้น
หักได้สวยมาก คือ clean cut ดังนั้น ไม่มีความจำเป็นต้องทำการผ่าตัด แกวินก็บอกว่า
เดี๋ยวคุณพยาบาลจะมาทำเฝือกให้ แล้วก็สอนวิธีการฉีดยาด้วยตัวเองด้วยนะ (คิดในใจ
ว่าแกวินคงหมายถึงมาฉีดยาให้ล่ะมั้ง แต่สรุปคิดผิด -_- เค้าหมายความตามนั้นจริง ๆ)
จากนั้น เค้าก็บอกว่าภายใน 1 สัปดาห์นี้ให้ฝ้ายไปพบแพทย์เฉพาะทางด้านกระดูกที่อยู่ใกล้
ๆ บ้าน และให้ยืนยันกับหมอว่าไม่ต้องผ่าตัดนะ เพราะไม่มีความจำเป็น
เรื่องนี้ไม่น่าเป็นห่วง แค่อยู่เฉย ๆ 4-6 สัปดาห์ เดี๋ยวกระดูกก็สมานเอง (เหรอ?)
แต่เรื่องที่เค้าเป็นห่วงคือเราล้มแล้วหัวกระแทกพื้น
ซึ่งเค้าสั่งให้ต้องมีคนคอยดูอาการเราภายใน 24 ชั่วโมงนับจากนี้ เราก็บอกว่าเราอยู่คนเดียว
ไม่มีใครมาคอยดูเรา คงต้องนอนค้างที่โรงพยาบาล แต่คุณหมอก็บอกว่าไม่แนะนำ
เพราะตอนนี้เตียงเต็มหมดแล้ว หากฝ้ายจะนอนที่นี่จริง ๆ ก็ต้องนอนตรงโถงทางเดิน
ซึ่งไม่มีความเป็นส่วนตัว และก็คงไม่ได้นอนแน่ ๆ แกวินก็พูดขึ้นมาว่าให้ไปค้างที่บ้านเค้ากับเวเรน่า
มาเรียได้คืนนี้ แล้วเค้าจะไปส่งเราที่บ้านเองวันรุ่งขึ้น
เมื่อคุณหมอบอกลา คุณพยาบาลสองคนก็เข้ามา
จัดการทำเฝือกให้เราอยากชำนิชำนาญ และสอนวิธีการใช้ไม้เท้าพยุงตัวเวลาเดิน
และสุดท้าย สอนวิธีฉีดยาค่ะ!!!
คือที่นี่เค้าระวังมาก เรื่องการดูแลคนไข้ที่เดินปกติไม่ได้
ยาที่เค้าให้มา เพื่อฉีดเข้าตรงท้องนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้เลือดอุดตันหรือแข็งตัว
(มั้ง) เนื่องจากการที่ไม่ได้ขยับตัว เช่น คนที่ต้องนอนอยู่บนเตียงนาน ๆ แล้วต้องให้คนมาคอยพลิกตัว
ซึ่งกรณีเรามันก็ไม่ได้ขนาดนั้น เพราะเรายังขยับตัวได้อยู่ เพียงแต่ช้ากว่าเดิมมาก
เธอก็ทำการฉีดยาเข็มแรกให้กับเรา พร้อมกับบอกว่าให้เล็งตรงเนื้อนิ่ม ๆ ของพุงกะทิ
แล้วจิ้มเลย โดยฉีดวันละเข็ม (จำรายละเอียดตรงนี้ไม่ได้แน่นอน) มอง ๆ
ดูมันก็ไม่ยากนะ แค่จิ้มเข็มลงไปแล้วกดฉีดยาเท่านั้นเอง จากนั้น แกวินก็มารับ
และไปจ่ายเงินค่าธรรมเนียม 10 ยูโร แล้วก็ไม่ได้มีค่าใช้จ่ายอะไรเพิ่มเติมอีก แถมได้ไฟล์
x-ray มาด้วย
ไปนอนค้างที่บ้านทั้งสองคนคืนหนึ่ง วันรุ่งขึ้น
เค้าก็มาส่งที่บ้าน โชคดี ที่ห้องเราอยู่ชั้น 1 ต้องขึ้นบันไดเพียง 7 ขั้น
แต่ตอนนั้น เราก็ไม่กล้าขึ้นเองด้วยไม้เท้า ทั้ง ๆ ที่แกวินก็บอกวิธีให้ แต่เรากลัวล้ม
เดี๋ยวจะไปกันใหญ่ แกวินเลยอุ้มมาส่งที่ห้อง แล้วก็ขอตัวกลับไปโรงพยาบาล
พร้อมบอกว่ามีอะไรให้โทรหานะ
พอถึงบ้าน ก็เริ่มเข้าโหมดเศร้า คิดกลับไปกลับมา
ว่าเราไม่น่าไปนั่งสมาธิบนเตียงเลย ไม่งั้นวันนี้ เราคงเดินทางไปจัดการเรื่อง work
permit ได้แล้ว ทำไมเราถึงซวยแบบนี้นะ โลกนี้ไม่ยุติธรรม บลา ๆๆ
สรุปคือโทษทุกอย่าง คิดถึงแต่เรื่องที่ผ่านไปแล้วและแก้ไม่ได้
มีชั่วขณะนึง ได้ตระหนักถึงความจริงแท้ ที่ทำให้รู้สึกกลัวจนขนลุกก็คือ
“เราเกิดมาคนเดียวและเราตายคนเดียว” จริง ๆ นะ
เวลาที่เกิดอุบัติเหตุขึ้น ใครก็มาช่วยเราไม่ได้ เพื่อนตายคนเดียวที่มีคือการมีสติ
เวลาที่เกิดอุบัติเหตุขึ้น ใครก็มาช่วยเราไม่ได้ เพื่อนตายคนเดียวที่มีคือการมีสติ
นอกจากนี้ การอาศัยคนเดียว ไม่มีงานทำ และไม่ได้มีกิจกรรมอะไรที่ทำเป็นประจำ
เช่น ทุกวันเสาร์ต้องออกไปเจอเพื่อน หรือออกไปตีแบด บวกกับความเป็นคนที่ค่อนข้างชอบอยู่บ้านแบบเรา
ไม่ได้ชอบโทรหาใครหากไม่มีธุระ แบบนี้นี่ มีความเสี่ยงสูงมาก
หากเกิดอุบัติเหตุอะไรในบ้าน ที่รุนแรงกว่าที่เราเจอนี้ กว่าจะมีใครมาเจอคงไม่ทันการณ์ เพราะตอนที่กลับมาทบทวนดูว่า
หากเราไม่ได้กระดูกหัก แต่เป็นเหตุอื่น เช่น ไฟดูด หรือมีแผลฉกรรจ์อย่างใดอย่างหนึ่งแล้วมีการเสียเลือดด้วย และหมดสตินานกว่านี้ เราคงไม่สามารถโทรขอความช่วยเหลือใครได้ คงต้องรอให้มีใครนึกถึงเรา แล้วมาตามหา
ดังนั้น ก็เลยเรียนรู้ว่า ยังไงต้องพยายามออกสังคมบ้าง เมื่ออาศัยอยู่คนเดียว อย่าสันโดษเกินไป
ป.ล. อาหารมื้อแรกวันนั้น
คือปลาแซลมอนที่เราเอาออกมาประคบเท้าก่อนไปโรงพยาบาล ผ่านไป 24 ชั่วโมง น้ำแข็งละลายหมดแล้ว
เอาเข้าลังถึงนึ่งกินได้เลย >_<
Kommentare
Kommentar veröffentlichen